แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๖/๒๕๕๐
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีศาลที่รับฟ้องคดีเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๕ ศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๗๑/๒๕๔๕ ระหว่าง นายสุพล จิตต์ใจฉ่ำ ผู้ฟ้องคดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ ๑ นายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีฟ้องและเพิ่มเติมฟ้อง ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๗๗๕ ตำบลโพหลวง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาผู้ฟ้องคดี ทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลง ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๐๔ ซึ่งมีแนวเขตติดต่อกับโฉนดเลขที่ ๕๗๗๕ ด้านทิศตะวันออก จากนายหนู ล้อไป เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๘๘ ตารางวา ราคา ๓,๐๐๐ บาท โดยผู้ขายทำหนังสือ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๐๖ มอบอำนาจให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดำเนินการขอรับรองการทำประโยชน์และโอนขายที่ดินแปลงนี้ และผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินข้างเคียงจากนายหีบ ล้อไป เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๗๗ ตารางวา โดยไม่มีหลักฐานการซื้อขายอีกส่วนหนึ่ง รวมที่ดินส่วนที่พิพาททั้งสองแปลงมีจำนวนเนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่เศษ แต่ยกให้ใช้เป็นลานตากข้าวประมาณ ๑ ไร่ ส่วนที่เหลือผู้ฟ้องคดีครอบครองทำประโยชน์สำหรับทำนา ทำสวนมาโดยตลอด และเมื่อราว ๑๐ ปีที่ผ่านมากำนันตำบลดอนตาลแจ้งว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีลงนามยินยอมรับทราบเนื่องจากเอกสารการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทหายไป จนกระทั่งราวเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓ หลังจากค้นหาเอกสารต่าง ๆ พบแล้ว จึงนำไปแสดงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เพื่อขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน จึงทราบว่าทางราชการได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ สพ.๐๒๒๒ ที่ดินเลขที่ ๒๕๘ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ แล้ว จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าที่ดินแปลงนี้ตนและบุตรได้ครอบครองใช้ประโยชน์มาโดยตลอด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้ครอบครองที่ว่างประมาณ ๕ ไร่เศษ และทำประโยชน์มาเป็นเวลา ๔๐ กว่าปีนั้น เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ที่สันดอนสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ในการรังวัดได้เนื้อที่ ๕ ไร่ ๑ งาน ๓๔.๘๐ ตารางวา ซึ่งแตกต่างจากเนื้อที่ตามทะเบียนเลขที่ ๑ ซึ่งระบุว่าที่สาธารณประโยชน์แปลงนี้มีจำนวน ๑๘๐ ไร่ มีการลงนามรับรองแนวเขตที่ดินทั้งสี่ด้านรวมทั้งผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อข้างเคียงด้านทิศตะวันตก และบันทึกให้ถ้อยคำว่า ผู้ฟ้องคดี ทราบดีว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์แต่ขออาศัยทำสวนไปก่อน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปิดประกาศแจกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดคัดค้าน ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งผลการสอบสวนของสภาตำบลดอนตาลว่าที่ดินสันดอนสาธารณประโยชน์แปลงนี้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสาธารณประโยชน์ เป็นคนละแปลงกับที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงที่มีเนื้อที่ประมาณ ๑๘๐ ไร่ และแจ้งมติสภาตำบลดอนตาลให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดังกล่าว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย และจากการตรวจรายชื่อผู้ถือหรือเคยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๘๒๐ เลขที่ ๖๘๑๙ และเลขที่ ๕๗๗๕ ซึ่งตั้งอยู่รอบแปลงที่สาธารณประโยชน์แปลงพิพาทปรากฏว่าไม่มีรายชื่อตรงกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงตามที่ได้ระบุไว้ใน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๐๔ จึงเชื่อได้ว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ ฉบับนี้เป็นคนละแปลงกับที่สาธารณประโยชน์แปลงพิพาท
ศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ สพ. ๐๒๒๒ ที่ดินเลขที่ ๒๕๘ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ ทั้งแปลง โดยฟังว่าที่ดินพิพาททั้งแปลงมิได้เป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันมาก่อนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง การที่กรมที่ดินออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ สพ. ๐๒๒๒ ที่ดินเลขที่ ๒๕๘ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ นำรังวัด เป็นการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทบางส่วนจะกลายเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ใช้เป็นลานตากข้าวในภายหลังก็ตาม
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยเห็นว่า เรื่องนี้มีปัญหาที่คู่กรณียังโต้เถียงกันว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นสันดอนสาธารณประโยชน์ซึ่งประชาชนใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกันมาก่อน แต่การที่จะวินิจฉัยและสั่งเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม การที่ศาลปกครองชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในสำนวนคดีและนำประเด็นแห่งคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาตามรูปคดี โดยมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ต้องหยุดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว พร้อมจัดส่งความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลส่งไปยังศาลยุติธรรมพิจารณา ทั้ง ๆ ที่มีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลในประเด็นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับข้อพิพาทในคดีนี้มาก่อนที่ศาลปกครองชั้นต้นจะมีคำพิพากษา จึงเป็นการทำคำพิพากษาโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ตามนัยข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยการพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายกคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และให้ศาลปกครองกลางดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยและมีความเห็นแล้วว่า คดีนี้มีปัญหาที่คู่กรณียังโต้แย้งกันว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จะพิจารณาว่า คดีที่ฟ้องนั้นเป็นคดีประเภทใด และอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดนั้น จะต้องพิจารณาจากคำฟ้องและคำขอบังคับในคดีนั้น เป็นหลักสำคัญ ในเมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องคดีโดยอ้างว่า การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จึงเป็นกรณีที่เป็นการโต้แย้งและพิพาทเกี่ยวกับการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำไป โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ประกอบกับกำหนดระยะเวลาในการโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น มุ่งหมายที่จะให้ข้อขัดแย้งในเรื่องเขตอำนาจศาลที่จะเกิดขึ้นนั้นจะต้องมีการวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้เสร็จสิ้นและยุติลงไปเสียก่อนที่ศาลที่รับฟ้องไว้นั้นจะมีคำพิพากษาในคดี ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่คู่ความและการพิจารณาพิพากษาของศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจหรือไม่ ดังนั้นการที่ศาลปกครองกลางได้รับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาโดยที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเรื่องเขตอำนาจศาล และศาลก็ไม่ได้เห็นเองว่าคดีนี้ อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น และได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยมีคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ถึงแม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะได้มีคำพิพากษายกคำพิพากษาของศาลปกครองกลางและให้ศาลปกครองกลางทำความเห็นในเรื่องนี้มาใหม่ก็ตาม กรณีดังกล่าวแล้วก็ยังถือได้ว่าศาลปกครองกลางได้มีความเห็นและได้ส่งความเห็นมาเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี และนายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๗๗๕ ตำบลโพหลวง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ซื้อที่ดินแปลง ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๐๔ มีแนวเขตติดต่อกับโฉนดที่ดินดังกล่าวด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๘๘ ตารางวา จากนายหนู ล้อไป โดยทำสัญญาซื้อขายและผู้ขาย ทำหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๐๖ ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดำเนินการขอรับรองการทำประโยชน์และโอนขายที่ดินแปลงนี้ นอกจากนี้ผู้ฟ้องคดีได้ซื้อที่ดินข้างเคียงจากนายหีบ ล้อไป เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๗๗ ตารางวา โดยไม่มีหลักฐานการซื้อขายอีกส่วนหนึ่ง รวมที่ดินทั้งสองแปลงมีเนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่เศษ แต่ยกให้ใช้เป็นลานตากข้าวประมาณ ๑ ไร่ ส่วนที่เหลือผู้ฟ้องคดีครอบครอง ทำประโยชน์สำหรับทำนาทำสวนมาโดยตลอด เมื่อผู้ฟ้องคดีขอรังวัดเพื่อออกโฉนดในที่ดินดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในราวเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓ จึงทราบว่าทางราชการได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ สพ.๐๒๒๒ ที่ดินเลขที่ ๒๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ แล้ว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ที่ดินแปลงนี้ตนและบุตรครอบครองใช้ประโยชน์มาโดยตลอด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้ครอบครองที่ว่างประมาณ ๕ ไร่เศษ และทำประโยชน์มาเป็นเวลา ๔๐ กว่าปีนั้น เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ที่สันดอนสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ในการรังวัดได้เนื้อที่ ๕ ไร่ ๑ งาน ๓๔.๘๐ ตารางวา ซึ่งแตกต่างจากเนื้อที่ตามทะเบียนเลขที่ ๑ ซึ่งระบุว่าที่สาธารณประโยชน์แปลงนี้มีจำนวน ๑๘๐ ไร่ มีการลงนามรับรองแนวเขตที่ดินทั้งสี่ด้านรวมทั้งผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อข้างเคียงด้านทิศตะวันตก และบันทึกให้ถ้อยคำว่า ผู้ฟ้องคดีทราบดีว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์แต่ขออาศัยทำสวนไปก่อนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปิดประกาศแจกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดคัดค้าน ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งผลการสอบสวนของสภาตำบลดอนตาลว่าที่ดินสันดอนสาธารณประโยชน์แปลงนี้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสาธารณประโยชน์ เป็นคนละแปลงกับที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงที่มีเนื้อที่ประมาณ ๑๘๐ ไร่ และแจ้งมติสภาตำบลดอนตาลให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดังกล่าว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย และจากการตรวจรายชื่อผู้ถือหรือเคยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๘๒๐ เลขที่ ๖๘๑๙ และเลขที่ ๕๗๗๕ ซึ่งตั้งอยู่รอบแปลงที่สาธารณประโยชน์แปลงพิพาทปรากฏว่าไม่มีรายชื่อตรงกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงตามที่ได้ระบุไว้ใน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๐๔ จึงเชื่อได้ว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ ฉบับนี้เป็นคนละแปลงกับที่สาธารณประโยชน์แปลงพิพาท ดังนั้น แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับ ที่หลวง เลขที่ สพ.๐๒๒๒ ที่ดินเลขที่ ๒๕๘ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับดังกล่าวเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเป็นธรรมตามคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสุพล จิตต์ใจฉ่ำ ผู้ฟ้องคดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ ๑ นายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ติดราชการ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน