แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานเขตคลองสามวา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นส่วนราชการในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนด โดยมารดาของผู้ฟ้องคดีซื้อมาจากโครงการจัดสรร จากนั้นมารดาของผู้ฟ้องคดีและผู้ฟ้องคดีได้ครอบครองที่ดินติดกันซึ่งเป็นที่ดินคงเหลือจากโครงการจัดสรรที่ขายพร้อมกับที่ดินมีโฉนดให้แก่มารดาของผู้ฟ้องคดี ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ กับพวกอีกหลายคน พร้อมด้วยทหารนำรถแบ็คโฮเข้ามาทำลายต้นไม้และทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีในที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นที่สาธารณะ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้าม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่และผู้ที่เกี่ยวข้องกระทำการใด ๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ และห้ามผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาในที่ดินบริเวณพิพาท และให้นำรถแบ็คโฮออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เลือกปฏิบัติหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบในการขุดลอกคลอง และห้ามกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่คงเหลือ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นแนวเขตคลองสาธารณประโยชน์ ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ปลูกสร้างอาคารและเพิงพักชั่วคราวรุกล้ำ และไม่สามารถอ้างการครอบครองขึ้นโต้แย้งเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ได้ หากมีการซื้อที่ดินพิพาทจริง ผู้ฟ้องคดีกับผู้ขายต้องระบุเนื้อที่ที่แท้จริงลงในสัญญาซื้อขายและโฉนดที่ดินให้ชัดเจน การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างว่าตนมีกรรมสิทธิ์เป็นสำคัญ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณะ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม