แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังคำเบิกความโจทก์ที่ 1 ขัดแย้งกับพยานเพื่อหักล้างพยานเอกสารดังกล่าวไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 94 นั้น ในทางนำสืบไม่ปรากฏว่ามีพยานโจทก์คนใดที่เบิกความเกี่ยวกับเอกสาร มีเพียงจำเลยที่ตอบทนายโจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งนำเอกสารดังกล่าวมาถามค้าน จึงไม่อาจฟังได้ว่าคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดขัดแย้งกับเอกสาร ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วนฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยนั้น ล้วนเป็นการคัดลอกข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยมาทั้งสิ้น โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 9 ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 29537 ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง และให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดร่วมกับจำเลยในที่ดินส่วนที่เหลือในฐานะเป็นเจ้าของรวม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 29537 ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ที่ 1 และส่วนที่เหลือให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดร่วมกับจำเลยในฐานะเจ้าของรวม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังคำเบิกความโจทก์ที่ 1 ขัดแย้งกับพยานเอกสาร เพื่อหักล้างพยานเอกสารดังกล่าว ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดที่นำสืบไม่ปรากฏว่ามีพยานคนใดที่เบิกความเกี่ยวกับเอกสารแต่อย่างใด มีเพียงจำเลยที่ตอบทนายโจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งนำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านจำเลยว่า เอกสารดังกล่าวเป็นการขอโอนมรดกที่ดินของนางฮั่ว และบัญชีเครือญาติตามเอกสารเท่านั้น เมื่อที่ดินตามคำขอโอนมรดกที่ดินตามเอกสารดังกล่าวตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลและอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา แต่ที่ดินพิพาทซึ่งเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 201 ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีเนื้อที่และที่ดินข้างเคียงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยพยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมิได้เบิกความยืนยันว่าที่ดินตามคำขอโอนมรดกที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาท อันจะทำให้เห็นว่าคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดขัดแย้งกับเอกสาร ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยนั้น ล้วนเป็นการคัดลอกข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยมาทั้งสิ้น โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 9 ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ