คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อ้างว่า ป.ขายที่พิพาทให้แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อนขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่พิพาทให้ โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าป.ไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาทโดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาทเพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาก็ตาม แต่ก็ได้ความจากฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาครอบครองที่พิพาทนั้นโจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สิบตำรวจเอกปัญญาเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 จำนวน3 แปลง เมื่อสิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายที่ดินดังกล่าวได้ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุตร จำเลยใช้รถไถเข้าทำการไถที่ดินและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลง ต่อมาจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดน่าน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 โดยอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินทั้งสามแปลงไว้จากสิบตำรวจเอกปัญญาแต่สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้จากที่ดินเดือนละไม่น้อยกว่า 1,500 บาท ถ้าให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,500 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นค่าเสียหาย 46,500 บาท ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า สิบตำรวจเอกปัญญาได้ขายที่ดินทั้งสามแปลงได้มอบ น.ส.3 พร้อมทั้งที่ดินให้จำเลย แต่ยังมิได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา 3 ปีเศษแล้ว จึงได้สิทธิครอบครองจำเลยเคยฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 เรื่องขอแสดงสิทธิครอบครองคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2523จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดน่าน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อ้างว่าสิบตำรวจเอกปัญญาขายที่พิพาททั้งสามแปลง(คือที่พิพาทในคดีนี้) ให้ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าสิบตำรวจเอกปัญญาไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกที่ดินเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหายเป็นเงิน 34,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง วันที่ 21 ตุลาคม 2523 ศาลจังหวัดน่านพิพากษาคดีดังกล่าวให้ยกฟ้องของจำเลยและยกฟ้องของโจทก์ทั้งสอง จำเลยและโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2524 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทตามฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2524 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 เป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายในที่ดินทั้งสามแปลงเช่นเดียวกับคดีนี้ แม้จะปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาท โดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาท เพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่พิพาทก็ตามแต่ก็ได้ความชัดจากฟ้องแย้งแล้วว่าเมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่พิพาทนั้น โจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้นแล้วการที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 ซึ่งเป็นเรื่องอำนาจฟ้องที่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

พิพากษายืน

Share