แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน284,487บาท60สตางค์คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ฯลฯ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4ให้ปรับจำเลยทั้งสองสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยกัน เป็นเงิน 284,487 บาท60 สตางค์ หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนคนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบลิ้นจี่กระป๋องของกลาง คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของให้จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับและจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองสี่เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงิน 284,487 บาท60 สตางค์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท้จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่ากรณียังเป็นที่สงสัยว่าสินค้าของกลางจะเป็นของหนีภาษีจริงหรือไม่ก็ดี โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าเป็นสินค้าหนีภาษีและจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าสินค้าของกลางเป็นสินค้าที่นำเข้ามาดดยหลีกเลี่ยงอากรก็ดี ล้วนแต่เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง