คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3816/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขอเช่าห้องพิพาทจากโจทก์เพื่อประกอบการค้าประเภท ‘กิ๊ฟท์ชอป’ แต่จำเลยกลับตกแต่งห้องและขึ้นป้ายเป็นการค้าประเภท ‘จิวเวลรี่’ ซึ่งเป็นการผิดสัญญา จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้จำเลยเสียหาย ข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างใด จำเลยมิได้ต่อสู้ คำให้การจึงมีแต่การปฏิเสธลอยๆ ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองข้อนำสืบทั้งสิ้นของจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ศาลไม่พึงรับวินิจฉัยให้การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบแก้ข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นการผิดพลาด ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่จำต้องถือตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอเช่าห้องพิพาทในบริเวณโรงแรมของโจทก์เพื่อประกอบกิจการค้าประเภท “กิ๊ฟท์ชอป” ซึ่งหมายถึงร้านจำหน่ายสินค้าประเภทของที่ระลึกหรือของฝาก โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยจะจัดการตบแต่งห้องที่จะเช่าให้แล้วเสร็จเสียก่อน แล้วจึงจะตกลงกันในข้อสาระสำคัญแห่งการเช่าและจะได้ทำสัญญาเช่ากันต่อไป แต่จำเลยกลับตบแต่งห้องและขึ้นป้ายเป็นการค้าประเภท”จิวเวลรี่” หรือการค้าประเภทเครื่องอัญมณี เพชรพลอย ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันในสาระสำคัญ โจทก์จึงบอกเลิกข้อตกลงแก่จำเลย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาท และส่งมอบห้องคืนกับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าห้องพิพาททำเป็นร้านค้า จำเลยชำระเงินมัดจำให้โจทก์แล้ว ได้กั้นห้องและตบแต่งสถานที่เสร็จแล้วโจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเช่าและไม่สามารถจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยได้ตามที่ตกลงกัน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย หาใช่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเรื่องค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาทให้ส่งมอบห้องคืนในสภาพเรียบร้อย และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องของโจทก์ไปเพื่อประกอบกิจการอย่างหนึ่งอันเป็นสาระสำคัญที่ตกลงกัน แต่จำเลยกลับจะใช้ห้องประกอบกิจการอีกอย่างหนึ่งผิดไปจากที่ตกลงกัน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ จำเลยชอบที่จะต่อสู้ว่าเหตุที่ตนไม่ผิดสัญญานั้นเป็นประการใด กล่าวคือ จำเลยเช่าห้องเพื่อประกอบกิจการตามที่โจทก์อ้างจริงหรือไม่ หรือเช่ามาเพื่อประกอบกิจการที่ตนกำลังกระทำอยู่ซึ่งหาได้กระทำผิดสัญญาไม่ คดีนี้จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วบรรยายว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าห้องเป็นร้านค้าโจทก์ผิดสัญญาอย่างใดทำให้จำเลยเสียหายเท่าใด ข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างใด จำเลยมิได้ต่อสู้หากจำเลยเช่าเพื่อประกอบกิจการประเภท “จิวเวลรี่” ก็ชอบที่ปฏิเสธให้แจ้งชัดว่าตนมิได้เช่ามาเพื่อประกอบกิจการตามที่โจทก์อ้าง แต่เช่ามาเพื่อประกอบกิจการอันใดโดยระบุให้เป็นที่ประจักษ์ ดังนั้น คำให้การจึงมีแต่การปฏิเสธลอย ๆ ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธตามความต้องการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ข้อนำสืบทั้งสิ้นของจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ศาลไม่พึงรับวินิจฉัยให้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบแก้ข้อนำสืบของโจทก์ จึงเป็นการผิดพลาด ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่จำต้องถือตาม

พิพากษายืน

Share