คำวินิจฉัยที่ 12/2550

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๕๐

วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๐

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘

ศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปราจีนบุรี

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ โดยสำนักตุลาการทหารส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๖ อัยการศาลทหารมณฑลทหารบกที่ ๑๒ โจทก์ ยื่นฟ้อง พลทหาร เอกชัย เลือดไทย จำเลย ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ เป็นคดีดำที่ ๘/๒๕๔๖ ความว่า จำเลยเป็นทหารกองประจำการ สังกัดกองร้อยกองบัญชาการ กองบัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางสงวน พูลแก้ว โดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยพาอาวุธ มีดดาบ ๑ เล่ม ยาวประมาณศอกเศษ ไปตามทางสาธารณะในหมู่บ้านข้างโรงแรมโซเฟีย ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยไม่มีเหตุอันสมควร หลังจากนั้นจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายนางสงวน พูลแก้ว โดยใช้เท้าเตะใบหน้าอย่างแรงจนหมดสติ มีรอยบวมช้ำบริเวณใบหน้า เป็นเหตุให้นางสงวน พูลแก้ว ได้รับอันตรายแก่กาย และจำเลยใช้อาวุธมีดที่พาติดตัวมาเป็นอาวุธฟันประทุษร้ายนายสมหมาย รสดี ถูกบริเวณมือขวามีบาดแผลฉีกขาด และฟันประทุษร้ายนางอำพัน รสดี ถูกที่บริเวณต้นแขนขวามีบาดแผลฉีกขาด จนเป็นเหตุให้นายสมหมาย รสดี และนางอำพัน รสดี ได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ , ๓๖๔ , ๓๖๕ , ๓๗๑ , ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๙ ว่า คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๗๙/๒๕๔๖ ของศาลจังหวัดปราจีนบุรี เหตุเกิดในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุและมูลคดีเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างแจ้งความดำเนินคดีเป็นผู้เสียหายทั้งสองฝ่าย คดีทั้งสองมีข้าราชการทหารกระทำผิดร่วมกับพลเรือน ควรพิจารณาคดีทั้งสองในศาลจังหวัดปราจีนบุรี
โจทก์มีความเห็นว่า คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๗๙/๒๕๔๖ ของศาลจังหวัดปราจีนบุรี มีมูลคดีเดียวกัน และเป็นคดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่อำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารที่จะพิจารณา
ศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ ฟ้องพลทหารเอกชัย เลือดไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารเป็นจำเลยต่อศาลทหาร กับคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรี ฟ้องนายสมหมาย รสดี กับ นางอำพัน รสดี ผู้เสียหายในคดีนี้เป็นบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี มีมูลเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างกระทำผิดและต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียหาย กรณีจึงเป็นคดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกันและเกี่ยวพันกันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของ ศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ ตามมาตรา ๑๔ (๑) (๒) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดปราจีนบุรี ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๕
ศาลจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า พลทหารเอกชัย เลือดไทย จำเลย ถูกอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ เป็นโจทก์ ฟ้องว่า กระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวม ๓ กระทง คือ ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน ที่อยู่อาศัยของนางสงวน พูลแก้ว โดยมี นางสงวน พูลแก้ว เป็นผู้เสียหาย ความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นความผิดต่อรัฐ ความผิดต่อร่างกายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายนางสงวน พูลแก้ว นายสมหมาย รสดี และ นางอำพัน รสดี ซึ่งบุคคลทั้งสามเป็นผู้เสียหาย ส่วนในสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๗๙/๒๕๔๖ พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรี โจทก์ ฟ้อง นายสมหมายหรือเบิ้ม รสดี นางอำพันหรือจ้อย รสดี นายพัวหรือติ๋ม พูลแก้ว นายอังกูรหรือบุ๋ม รสดี ในความผิดต่อร่างกายหรือจิตใจ โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่ใช้กำลังกายเตะ และใช้มีดไม่ทราบชนิดและขนาด ไม้ไม่ทราบความยาวและขนาดเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายร่างกาย นายเอกชัย เลือดไทย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๒๙๕ ในความผิดต่อร่างกาย พลทหารเอกชัย เลือดไทย หรือนายเอกชัย เลือดไทย กับนายสมหมายหรือเบิ้ม รสดี และนางอำพันหรือจ้อย รสดี ต่างถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน และมีนายพัวหรือติ๋ม พูลแก้ว นายอังกูรหรือบุ๋ม รสดี พวกของนายสมหมายเข้าร่วมทำร้ายพลทหารเอกชัยด้วย ซึ่งต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียหาย แจ้งความดำเนินคดีอีกฝ่ายในข้อหาทำร้ายร่างกาย ดังนี้ในความผิดข้อหาทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จึงเป็นคดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ส่วนความผิดฐานบุกรุก และความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔ , ๓๖๕ , ๓๗๑ ปรากฏตามคำฟ้องของอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ บรรยายการกระทำของพลทหารเอกชัย เลือดไทย เป็นอีกสองข้อหา แยกต่างหากออกจากข้อหาทำร้ายร่างกาย ทั้งสองข้อหานี้มีพลทหารเอกชัย เป็นผู้กระทำเพียงฝ่ายเดียว โดยมีนางสงวน พูลแก้ว เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุกและเป็นการกระทำผิดต่อรัฐ ทั้งเป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกัน ดังนี้ข้อหาฐานบุกรุกเคหสถาน และฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ จึงไม่ใช่คดีที่เกี่ยวกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน ตามมาตรา ๑๔ (๒) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ดังนั้น คดีระหว่าง อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ โจทก์ พลทหารเอกชัย เลือดไทย จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร เว้นแต่ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า จำเลย กระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวม ๓ กระทง คือ ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน ที่อยู่อาศัยของนางสงวน พูลแก้ว ความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ความผิดต่อร่างกายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายนางสงวน พูลแก้ว นายสมหมาย รสดี และ นางอำพัน รสดี ซึ่งบุคคลทั้งสามเป็นผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ , ๓๖๔ , ๓๖๕ , ๓๗๑ , ๙๑ ต่อมา นายสมหมาย รสดี นางอำพัน รสดี ผู้เสียหายในคดีที่พลทหารเอกชัย เลือดไทย ถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลทหาร และนายพัว พูลแก้ว นายอังกูร รสดี ถูกพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรียื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีในความผิดต่อร่างกายหรือจิตใจ โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่ใช้กำลังกายเตะ และใช้มีดไม่ทราบชนิดและขนาด ไม้ไม่ทราบความยาวและขนาดเป็นอาวุธฟันและตีทำร้ายร่างกายนายเอกชัย เลือดไทย (พลทหารเอกชัย เลือดไทย) เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๒๙๕ ทั้งสองศาลเห็นพ้องต้องตรงกันว่า ในความผิดต่อร่างกาย พลทหารเอกชัย เลือดไทย กับนายสมหมาย รสดี และนางอำพัน รสดี ต่างถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน และมีนายพัว พูลแก้ว นายอังกูร รสดี พวกของนายสมหมายเข้าร่วมทำร้ายพลทหารเอกชัยด้วย ซึ่งต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียหาย แจ้งความดำเนินคดีอีกฝ่ายในข้อหาทำร้ายร่างกาย เป็นคดีบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกันไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คงเหลือข้อหาความผิดฐานบุกรุก และความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔ , ๓๖๕ , ๓๗๑ ว่าอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร เห็นว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารคือ
(๑) คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน
(๒) คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องในคดีนี้โจทก์ฟ้องพลทหารเอกชัย เลือดไทย ซึ่งเป็นบุคคล ที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารว่า กระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวม ๓ กระทง คือ ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน ที่อยู่อาศัยของนางสงวน พูลแก้ว โดยมีนางสงวน พูลแก้ว เป็นผู้เสียหาย ความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นความผิดต่อรัฐ ความผิดต่อร่างกายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายนางสงวน พูลแก้ว นายสมหมาย รสดี และนางอำพัน รสดี ซึ่งบุคคลทั้งสามเป็นผู้เสียหาย กับข้อเท็จจริงในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีฟ้องนายสมหมาย รสดี กับนางอำพัน รสดี ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นผู้เสียหายในคดีนี้และเป็นบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลทหารโดยกล่าวหาว่าร่วมกับนายพัว พูลแก้ว นายอังกูร รสดี ใช้กำลังกายเตะ และใช้มีดไม่ทราบชนิดและขนาด ไม้ไม่ทราบความยาวและขนาดเป็นอาวุธฟันและตีทำร้ายร่างกายนายเอกชัย เลือดไทย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๒๙๕ แต่เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ บรรยายฟ้องพลทหารเอกชัย เลือดไทย โดยระบุชื่อนายสมหมาย รสดี และนางอำพัน รสดี เป็นผู้เสียหาย ปรากฏว่า ผู้เสียหายในคดีที่ศาลทหารนี้กลับตกเป็นจำเลยในคดีที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีพลทหารเอกชัย เลือดไทยเป็นผู้เสียหาย และแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้เสียหายในคดีที่พลทหารเอกชัย เลือดไทย ตกเป็นจำเลยที่ศาลทหาร ตามบรรยายฟ้องของทั้งสองคดีปรากฏว่า เป็นเหตุที่เกิดในวัน เวลา และสถานที่เดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างกระทำผิดและต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียหาย แม้ข้อหาบุกรุก และข้อหาฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๑๒ โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของพลทหารเอกชัย เลือดไทย จำเลย ว่ากระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ แยกต่างหากออกจากข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยมีพลทหาร เอกชัย เลือดไทย จำเลย เป็นผู้กระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว และพลเรือนหรือรัฐเป็นผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อคดีทั้งสองเป็นคดีที่เหตุเกิดในวัน เวลา และสถานที่เดียวกัน และเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ตามคำฟ้องของทั้งสองคดี จำเลยในแต่ละคดีต่างมีมีดและไม้เป็นอาวุธ และต่างทำร้ายกันและกันจนได้รับอันตรายแก่กายทั้งสองฝ่าย ทั้งสองคดีนี้จึงมีมูลคดีเดียวกัน พฤติการณ์ที่มีการพกพาอาวุธและการบุกรุก จึงมีความผิดเกี่ยวพันกัน ประกอบกับคดีมีบุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารต่างฝ่ายต่างกระทำผิดและต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียหาย กรณีจึงเป็นคดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกันและเกี่ยวพันกันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน ทั้งสามข้อหาในคดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๔ (๑) (๒) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๕ ดังนั้น ข้อหาบุกรุก และข้อหาฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง อัยการศาลทหารมณฑลทหารบกที่ ๑๒ โจทก์ พลทหาร เอกชัย เลือดไทย จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

คมศิลล์ คัด/ทาน
??

??

??

??

Share