คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5971/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินแปลงพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน ใน 9 ส่วน คิดเป็นเงินรวม 279,632 บาท แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2544)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางสำรวม สุ่มพ่วง โดยคำสั่งศาลไม่แบ่งปันที่ดินมรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๙๘๒ แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทและทายาทอื่น ๆ รวม ๙ คน ขอให้บังคับจำเลยแบ่งปันมรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ ๑ ใน ๙ ส่วน หากตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินออกประมูลขายนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วน
จำเลยให้การว่า เจ้ามรดกยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่จำเลยอายุ ๒๐ ปีเศษ โดยส่งมอบการครอบครองแก่จำเลยในเวลานั้น แต่เจ้ามรดกล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน จำเลยจึงยังไม่ได้จดทะเบียนรับโอนการครอบครองหลังจากเจ้ามรดกตาย จำเลยต้องการไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินแนะนำให้จำเลยร้องขอจัดการมรดกเสียก่อน จึงจะดำเนินการได้ตามความประสงค์ การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกไม่แบ่งปันที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสี่และทายาทอื่นจึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งปันที่ดินมรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๙๘๒ แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ ๑ ใน ๙ ส่วน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขอให้นำที่ดินมรดกออกประมูลขายหรือขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนนั้นเป็นเรื่องของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ ๑ ส่วน รวม ๔ ส่วน ใน ๙ ส่วน คิดเป็นเงินรวม ๒๗๙,๖๓๒ บาท ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดิน ๔ ส่วน ที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันมานั้นมีราคา ๒๗๙,๖๓๒ บาท ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย.

Share