คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4573-5228/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเป็นรางวัลในการปฏิบัติงานเท่านั้น มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง เงินโบนัสจึงมิใช่ค่าจ้างตามความหมายในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 เมื่อเงินโบนัสไม่ใช่ค่าจ้าง การที่นายจ้างไม่จ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างจึงมิใช่กรณีที่นายจ้างจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างและต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา 9 วรรคสอง
ข้อบังคับของธนาคารจำเลยที่ระบุว่า จำเลยจะพิจารณาจ่ายโบนัสให้ปีละ 2 ครั้ง ภายหลังการปิดบัญชีประจำงวด นั้นแม้จำเลยจะจ่ายโบนัสครั้งแรกพร้อมเงินเดือนในเดือนมิถุนายนโดยตลอดก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติ ถือไม่ได้ว่าเป็นกำหนดเวลาจ่ายเงินโบนัสครั้งแรก หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระ จำเลยจะตกเป็นลูกหนี้ผู้ผิดนัดต่อเมื่อโจทก์บอกกล่าวทวงถามก่อน
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิมแล้ว การที่จำเลยยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน ธ. และต่อมาได้มีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับเงินโบนัสขึ้นใหม่ ภายหลังที่โจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยแล้วข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามอัตราเดิม

ย่อยาว

คดีทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเข้ากับคดีอื่นอีกหนึ่งสำนวน ซึ่งโจทก์ได้ขอถอนฟ้องในระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลางโดยให้เรียกโจทก์ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 222 และโจทก์ที่ 224 ถึงที่ 656 ตามลำดับ

โจทก์ทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างของจำเลย ในระหว่างการทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องเงินโบนัสว่า จำเลยจะจ่ายโบนัสให้พนักงานปีละ 2 ครั้ง และพนักงานที่มีสิทธิได้รับโบนัสจะต้องปฏิบัติงานในงวดนั้นไม่ต่ำกว่า 1 เดือน และต้องอยู่ปฏิบัติงานจนถึงวันสิ้นงวดบัญชี และได้กำหนดอัตราการจ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างตามขั้นของตำแหน่งงานของลูกจ้างแต่ละคนและวันสิ้นงวดบัญชีงวดที่ 1 คือวันที่ 30 มิถุนายน และงวดที่ 2คือวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ดังนี้สำหรับปี 2541 จำเลยจึงต้องจ่ายเงินโบนัสงวดที่ 1 ในวันที่ 28 มิถุนายน 2541 โจทก์ทุกคนอยู่ปฏิบัติงานถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 จึงมีสิทธิได้รับโบนัสงวดที่ 1 คนละประมาณ 3 เดือน ซึ่งจำเลยต้องจ่ายในวันที่ 28มิถุนายน 2541 แต่ถึงวันดังกล่าวจำเลยไม่ยอมจ่ายจนกระทั่งวันที่ 10 และ 28 สิงหาคม 2541 จึงจ่ายให้โจทก์ทุกคนในอัตราเพียงคนละหนึ่งเท่าของเงินเดือนคงค้างจ่ายอยู่ประมาณคนละสองเท่าของเงินเดือน ถือว่าจำเลยผิดนัดจ่ายเงินค่าตอบแทนการทำงานหรือเงินโบนัสงวดที่ 1 แก่โจทก์ทุกคนโดยจงใจและไม่มีเหตุผลอันสมควรและโจทก์ทุกคนไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยจำเลยจึงต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสิบห้าของเงินโบนัสที่ค้างจ่ายทุกระยะเจ็ดวันนับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2541 คิดถึงวันฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสและเงินเพิ่มตามฟ้องและจ่ายเงินเพิ่มต่อไป นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทุกคน

จำเลยทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนให้การว่า โจทก์ทุกคนไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสเพราะในปี 2541 จำเลยทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสว่าให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสเพียง 1 งวด โดยแบ่งจ่ายในอัตรา 1 เท่าของเงินเดือนในวันที่ 10 สิงหาคม 2541 และให้จ่ายส่วนที่เหลือตามอัตราที่พนักงานแต่ละลำดับชั้นพึงได้รับต่อ 1 งวดหรือครึ่งหนึ่งตามข้อตกลงร่วมข้อ 1 ปี 2536 ให้แก่พนักงานที่มีสภาพพนักงานถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2541 โดยจำเลยตกลงจ่ายภายในเดือนธันวาคม 2541 โจทก์ที่เป็นพนักงานระดับผู้บังคับบัญชาก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสเพราะพนักงานเหล่านั้นและจำเลยไม่เคยทำข้อตกลงใด ๆกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสไว้เลย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิประโยชน์ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยและสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นพนักงานที่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยไม่เคยผิดนัดในการจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ทุกคน เพราะไม่เคยมีข้อตกลงว่าจะจ่ายเงินดังกล่าวในวันใด สำหรับปี 2541 มีปัญหาเรื่องผลประกอบการที่จำเลยต้องพิจารณาประกอบในการจ่ายเงินโบนัสและได้เจรจากับฝ่ายลูกจ้างมาโดยตลอดจนถึงใกล้สิ้นปีจึงสามารถตกลงกันได้ กรณีไม่ใช่การจงใจผิดนัดโดยไม่มีเหตุอันสมควรทั้งเงินโบนัสก็ไม่ใช่ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดหรือเงินประกันซึ่งลูกจ้างจะเรียกเงินเพิ่มได้ในกรณีที่นายจ้างผิดนัด ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลง โจทก์ที่ 223ขอถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลางอนุญาต

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์โจทก์ทุกคนเคยเป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์บางรายเป็นลูกจ้างระดับพนักงานบางรายเป็นพนักงานระดับผู้บังคับบัญชา ในเรื่องเงินโบนัสจำเลยและสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพได้ทำข้อตกลงร่วมกันตลอดมาตั้งแต่ปี 2523 ถึง 2536 ตามข้อตกลงเอกสารหมาย จ.ล.1ต่อมามีข้อตกลงระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 และข้อตกลงฉบับล่าสุดระหว่างวันที่ 13 สิงหาคม ถึงวันที่ 25ธันวาคม 2541 ตามข้อตกลงเอกสารหมาย จ.ล.2 และ จ.ล.3ตามลำดับ โดยก่อนทำข้อตกลงฉบับหลังโจทก์ทุกคนพ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้วตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย จ.ล.4 ก็ระบุเรื่องเงินโบนัสไว้ในข้อ 6.1 จำเลยและสหภาพแรงงานผู้บังคับบัญชาธนาคารกรุงเทพมีข้อตกลงร่วมตามเอกสารหมาย จ.ล.5 โจทก์ทุกคนทำงานกับจำเลยจนพ้นเดือนมิถุนายน 2541 โดยทยอยออกจากงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคมสิงหาคม กันยายนและพฤศจิกายน 2541 และจำเลยจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ทุกคน คนละ 1 เดือน เมื่อวันที่ 10 และ 28 สิงหาคม2541 แล้ววินิจฉัยว่า ตามข้อลงร่วมฉบับใหม่เอกสารหมาย จ.ล.3ทำขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541 และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2541 เป็นต้นไป ซึ่งขณะทำข้อตกลงโจทก์ทุกคนพ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยแล้ว ข้อตกลงนั้นจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ดังกล่าว ซึ่งต้องมีสิทธิตามข้อตกลงเดิม ส่วนโจทก์ทุกคนมีสิทธิเรียกเงินโบนัสพร้อมเงินเพิ่มตามฟ้องหรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่าอัตราเงินโบนัสที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทุกคนมาโดยตลอดเป็นอัตราแน่นอนตั้งแต่ปี 2537 นั้นเกิดจากข้อตกลงแม้ตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสจำเลยมีสิทธินำผลการปฏิบัติงานมาพิจารณาประกอบได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบไม่ปรากฏว่ามีลูกจ้างรายใดมีผลการปฏิบัติงานไม่น่าพอใจ และต้องคิดเงินโบนัสจากอัตราที่กำหนดแน่นอนไว้แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทุกคนมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามอัตราที่ฟ้องและที่คู่ความทำบัญชีร่วมเสนอต่อศาล ส่วนในข้อที่มีการกำหนดวันจ่ายเงินโบนัสไว้ชัดเจนหรือไม่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า มีการกำหนดวันจ่ายเงินโบนัสไว้แน่นอนมีเพียงระเบียบข้อบังคับในการทำงานตามเอกสารหมาย จ.ล.4กำหนดเพียงว่าจ่ายภายหลังวันปิดบัญชีประจำงวดสำหรับคดีนี้หมายถึงจ่ายภายหลังวันสิ้นเดือนมิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นวันปิดงวดบัญชีงวดแรก ส่วนที่โจทก์ทุกคนนำสืบว่า จำเลยจ่ายพร้อมเงินเดือนในเดือนมิถุนายนมาโดยตลอด ก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติกรณีถือไม่ได้ว่าเป็นกำหนดจ่ายเงินโบนัส หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่กำหนดชำระ จำเลยจะตกเป็นลูกหนี้ผู้ผิดนัดเมื่อโจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้ว โจทก์ทุกคนไม่ได้นำสืบให้ชัดว่าทวงถามแล้วเมื่อใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดต้องจ่ายดอกเบี้ยนับแต่วันใดก่อนวันฟ้อง คงถือได้ว่าจำเลยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง ส่วนที่โจทก์ทุกคนเรียกเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าทุกระยะเจ็ดวัน นับแต่วันที่ 28มิถุนายน 2541 ซึ่งอ้างว่าเป็นวันผิดนัด เนื่องจากเงินโบนัสมิใช่ค่าจ้างค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด เงินประกันหรือค่าชดเชยและค่าชดเชยพิเศษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 9 โจทก์ทุกคนจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่ม เนื่องจากโบนัสเป็นหนี้เงินค้างชำระ เห็นสมควรกำหนดดอกเบี้ยให้โจทก์ทุกคนร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินโบนัสนับแต่วันฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 52 พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแต่ละสำนวนแก่โจทก์ทั้งหกร้อยห้าสิบหกคน (ที่ถูกน่าจะเป็นโจทก์ทั้งหกร้อยห้าสิบห้าคน)รายละเอียดจำนวนเงินโบนัสของโจทก์แต่ละคนอยู่ในช่องโบนัสที่เรียกเพิ่มตามบัญชีท้ายคำพิพากษา

โจทก์และจำเลยทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ตามข้อบังคับเอกสารหมาย จ.ล.4 กำหนดจ่ายเงินโบนัสภายหลังวันปิดบัญชีประจำงวด ซึ่งศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จ่ายภายหลังสิ้นเดือนมิถุนายน 2541 โจทก์ทุกคนเห็นว่าเงินโบนัสเป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระหรือกำหนดจ่ายที่แน่นอนจำเลยจะต้องจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ทุกคนภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2541เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่เป็นคุณแก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 หรือหากเห็นว่าจะต้องชำระตามข้องบังคับเอกสารหมาย จ.ล.4 ก็ต้องจ่ายไม่เกินวันที่ 7 กรกฎาคม2541 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9วรรคสอง เพราะเงินโบนัสถือว่าเป็นค่าจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาการชำระเงินไว้เพียง 7 วัน มิใช่จนกว่าโจทก์ทุกคนจะทวงถาม เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2541 และที่โจทก์ทุกคนอุทธรณ์ข้อ 2.2 ว่าโจทก์ทุกคนมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าทุกระยะเจ็ดวันทั้งเงินโบนัสเป็นสภาพการจ้าง เป็นค่าจ้างและเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 5 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2540มาตรา 5 นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อไปพร้อมกัน เห็นว่า ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ให้คำนิยามคำว่า “สภาพการจ้าง”หมายความว่า “เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้างสวัสดิการ การเลิกจ้างหรือประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน” กับมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ให้คำนิยามคำว่า”ค่าจ้าง” หมายความว่า “เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง…” และมาตรา 9แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้าง…ไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด… ค่าชดเชยตามมาตรา 118 ค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา 120 มาตรา 121 และมาตรา 122 ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี” และตามมาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างจงใจ… ไม่จ่ายเงินตามวรรคหนึ่งโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ถึงกำหนด… จ่ายให้นายจ้างเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน นั้นเห็นได้ว่าเงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นรางวัลในการปฏิบัติงานเท่านั้น มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง เงินโบนัสจึงมิใช่ค่าจ้างตามความหมายในมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2540 และมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ในคำนิยามของคำว่า สภาพการจ้างเช่นนี้ เมื่อเงินโบนัสไม่ใช่ค่าจ้างแล้วการที่นายจ้างไม่จ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้าง จึงมิใช่กรณีที่นายจ้างจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างและต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าของเงินค่าจ้างค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน ตามมาตรา 9 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541ดังที่โจทก์ทุกคนอ้างมาในอุทธรณ์ ทั้งกรณีที่จะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินโบนัสวันใดนั้น โจทก์ทุกคนอ้างว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2541 หรือหากจะถือข้อบังคับตามเอกสารหมายจ.ล.4 ก็คือในวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคสอง เพราะเงินโบนัสเป็นค่าจ้างนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าเงินโบนัสไม่ใช่ค่าจ้าง กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 9 วรรคสอง ที่จำเลยจะต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ถึงกำหนดจ่าย คดีนี้คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 บทที่ 4 เรื่องค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่น ๆ ข้อ 2 โบนัส ในข้อ 2.1 ธนาคารจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงานปีละ 2 ครั้ง และข้อ 2.2 พนักงานมีสิทธิได้รับโบนัสจะต้องปฏิบัติงานในงวดนั้นไม่ต่ำกว่า 1 เดือน และอยู่ปฏิบัติงานจนถึงวันสิ้นงวดบัญชี และตามข้อบังคับของจำเลยตามเอกสารหมายจ.ล.4 ข้อ 6 เรื่องผลประโยชน์อื่นนอกเหนือเงินเดือนในข้อ 6.1 โบนัสธนาคารจำเลยจะพิจารณาจ่ายโบนัสให้ปีละ 2 ครั้ง ภายหลังการปิดบัญชีประจำงวด คดีนี้โจทก์ทั้งหมดทำงานกับจำเลยมาก่อนวันที่ 1มกราคม 2541 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 อันถือว่าเป็นวันสิ้นสุดในการปิดบัญชีประจำงวดที่หนึ่ง เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.2ประกอบข้อบังคับของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.ล.4 ข้อ 6.1แล้วข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดจ่ายเงินโบนัสไว้แน่นอนวันใดที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย จ.ล.4 กำหนดเพียงว่าการจ่ายเงินโบนัสให้จ่ายภายหลังวันปิดบัญชีประจำงวด คดีนี้ หมายถึงจ่ายภายหลังวันสิ้นเดือนมิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันปิดงวดบัญชีงวดแรก ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยจ่ายพร้อมเงินเดือนในเดือนมิถุนายนโดยตลอดเป็นเพียงวิธีปฏิบัติกรณีถือไม่ได้ว่าเป็นกำหนดจ่ายเงินโบนัส หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระ จำเลยจะตกเป็นลูกหนี้ผู้ผิดนัดต่อเมื่อโจทก์บอกกล่าวทวงถาม ซึ่งข้อเท็จจริงโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่าทวงถามเมื่อใด ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดต้องจ่ายดอกเบี้ยนับแต่วันใดก่อนฟ้อง คงถือได้ว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันฟ้องนั้นชอบแล้ว ส่วนในข้อที่โจทก์ทุกคนอุทธรณ์เรียกเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าทุกระยะเวลาเจ็ดวันนั้น เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าเงินโบนัสไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ทุกคนจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มตามบทบัญญัติมาตรา 9 ดังกล่าว

ส่วนในข้อที่จำเลยทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนอุทธรณ์ว่าตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.ล.2 เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งจำเลยได้จัดทำกับสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ย่อมมีผลผูกพันและก่อให้เกิดสิทธิแก่ลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานดังกล่าว หากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ลูกจ้างก็ไม่อาจอ้างสิทธิตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นได้ คดีนี้ภายหลังจำเลยปิดบัญชีงวดแรกปี 2541 จำเลยมีภาระที่จะต้องจ่ายเงินโบนัสแก่พนักงานของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.ล.4 ข้อ 6.1 นับตั้งแต่วันปิดงวดบัญชีคือวันที่ 30มิถุนายน 2541 ซึ่งนับแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2541อันเป็นวันที่จำเลยได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ในเรื่องเงินโบนัสของปี 2541 ตามเอกสารหมาย จ.ล.3 จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดการจ่ายเงินโบนัสจำเลยยังสามารถอาศัยขั้นตอนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างในส่วนของเงินโบนัสตามที่จำเลยได้ยื่นข้อเรียกร้องในเรื่องเงินโบนัสต่อสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ได้ในวันที่โจทก์ทุกคนออกจากงานเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 โจทก์ยังไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสงวดแรกของปี 2541 เนื่องจากอยู่ในระหว่างการพิจารณาและเจรจาต่อรองตามกฎหมาย โจทก์ทุกคนมีสิทธิได้รับเงินโบนัสงวดแรกปี 2541 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541 อันเป็นวันทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.ล.3 ทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องเงินโบนัสเดิมสิ้นผลไป จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ตามอัตราที่กำหนดตกลงกันไว้เดิมนั้น เห็นว่า ตามคู่มือการบริหารงานบุคคลเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า ธนาคารจะจ่ายเงินโบนัสให้พนักงานปีละ 2 ครั้ง พนักงานที่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสจะต้องปฏิบัติงานในงวดนั้นไม่ต่ำกว่า 1 เดือน และต้องอยู่ปฏิบัติงานจนถึงวันสิ้นงวดบัญชีงวดแรกคือวันที่ 30 มิถุนายน2541 ปรากฏว่าโจทก์ทุกคนทำงานกับจำเลยมาก่อนวันที่ 1 มกราคม2541 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 โจทก์ทุกคนจึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสในงวดบัญชีแรกของจำเลย ตามข้อบังคับของจำเลยเอกสารหมายจ.ล.4 และข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.ล.2เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ครบถ้วนจึงตกเป็นผู้ผิดนัดดังได้วินิจฉัยมาข้างต้นการที่จำเลยยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 และต่อมาได้มีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้นภายหลังที่โจทก์ทุกคนพ้นสภาพการเป็นนักงานของจำเลยแล้ว ดังนั้น ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 25ธันวาคม 2541 ซึ่งให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2541จึงหามีผลผูกพันโจทก์ทุกคนไม่ โจทก์ทุกคนมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.ล.2 เดิมที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งหกร้อยห้าสิบห้าสำนวนทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share