คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ป. กับ ศ. มีสินสมรสคือ ที่ดินตาม น.ส. 3 ก. ต่อมา ป. ตาย ที่ดินจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ต่อมา ศ. โอนที่ดินให้จำเลย จำเลยได้ไปขอออกโฉนด ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกในส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับ จำเลยให้การไว้ว่า ศ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกันเอง เพราะการที่ ศ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยย่อมเห็นได้ในเบื้องต้นว่าเป็นการให้โดยเสน่หาซึ่งไม่มีค่าตอบแทน หากจำเลยเสียค่าตอบแทนอย่างไรก็ต้องกล่าวไว้ในคำให้การให้ชัดแจ้ง คำให้การเช่นนี้จึงไม่มีประเด็นในเรื่องการรับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ จำเลยก็มิได้คัดค้านว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ไม่ครบถ้วน การที่จำเลยยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอ้างในอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ที่ดินพิพาทติดจำนอง จำเลยไถ่ถอนจำนองเอง ซึ่งเป็นการได้ที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนและโจทก์ได้รับมรดกส่วนของตนไปแล้วนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโปร่งกับนางศิริ คุณอุดม ในระหว่างบิดามารดาอยู่กินฉันสามีภริยามีสินสมรสคือที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๗๐ เนื้อที่ ๙ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา เมื่อปี ๒๕๑๒ นายโปร่งถึงแก่ความตายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ต่อมาปี ๒๕๓๗ นางศิริโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยในปี ๒๕๓๙ จำเลยได้ไปขอออกโฉนดเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๒๐๔ โจทก์ขอให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับเป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๒๐๔ ดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ให้ยึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินในส่วนของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนดังกล่าว
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางศิริ คุณอุดม มารดาของโจทก์และจำเลย ต่อมาปี ๒๕๓๗ นางศิริยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยได้ที่ดินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดกดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๒๐๔ เนื้อที่ดิน ๑ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การไว้ว่านางศิริยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเมื่อปี ๒๕๓๗ จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน คำให้การของจำเลยในเรื่องนี้จึงขัดแย้งกันเอง เพราะการที่นางศิริยกที่ดินพิพาทให้จำเลยย่อมเห็นได้ในเบื้องต้นว่าเป็นการให้โดยเสน่หาซึ่งไม่มีค่าตอบแทน หากจำเลยเสียค่าตอบแทนอย่างไรก็ต้องกล่าวไว้ในคำให้การให้ชัดแจ้ง คำให้การเช่นนี้จึงไม่มีประเด็นในเรื่องการรับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานก็มิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ซึ่งจำเลยก็มิได้คัดค้านว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ไม่ครบถ้วน การที่จำเลยยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอ้างในอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
และที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โดยขณะจำเลยรับการยกให้ ที่ดินพิพาทติดจำนองและจำเลยไถ่ถอนจำนองเองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ได้ที่ดินอันเป็นทรัพย์ทรดกของนายโปร่งไปเหมือนกับจำเลยและนำไปขายแล้ว เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าได้รับมรดกส่วนของตนไปแล้วนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน.

Share