แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ใช้ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวโดยรู้ว่าเป็นเอกสารปลอม จำเลยรับว่าได้นำไปใช้จริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอม สารสำคัญของคำฟ้องจึงอยู่ที่ว่า จำเลยรู้หรือไม่ว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม ส่วนวันเวลาที่จำเลยนำไปใช้ไม่ใช่ข้อสารสำคัญ แม้วันเวลากระทำความผิดตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้องแต่จำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้นำไปใช้จริง ศาลลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499 มาตรา 13
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวอันเป็นเอกสารราชการที่ผู้อื่นทำปลอมไปใช้ ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ และว่าไม่ทราบว่าเป็นเอกสารปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา ๒๖๕ จำคุก ๑ ปี ริบใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยรู้แล้วว่าใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของกลางเป็นเอกสารปลอม และจำเลยนำไปใช้จริง แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำไปใช้เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ แต่โจทก์นำสืบว่า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ เป็นวันที่เจ้าพนักงานตำรวจกล่าวโทษและจับจำเลย มิใช่วันที่จำเลยกระทำความผิด ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง วันเวลากระทำความผิดเป็นข้อสารสำคัญ ลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ พิพากษากลับให้ยกฟ้องแต่ให้ริบใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นสำคัญที่โจทก์ฟ้องมีว่า จำเลยได้ใช้ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของกลางโดยรู้ว่าเป็นเอกสารปลอม ซึ่งจำเลยก็รับว่าได้นำไปใช้จริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอม สารสำคัญของคำฟ้องจึงอยู่ที่ว่า จำเลยรู้หรือไม่ว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม ส่วนวันเวลาที่จำเลยนำไปใช้ไม่ใช่ข้อสารสำคัญ และจำเลยไม่ได้ยกเหตุเรื่องเกี่ยวกับวันเวลาเกิดเหตุขึ้นต่อสู้ จำเลยจึงไม่ได้หลงต่อสู้คดี ศาลลงโทษจำเลยได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้นำไปใช้จริง
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.