คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขายได้เสียเงินให้แก่มารดาของหญิงเพื่อขอขมามารดาของหญิง เนื่องจากชายได้พาหญิงหนีไปอยู่กันฉันสามีภริยา โดยไม่ได้สู่ขอตามประเพณี และชายกับหญิงนั้นก็อยู่กินกันต่อมาโดยมิได้มีเจตนาจะสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสินสอดหรือของหมั้นและมิใช่เป็นการให้เพราะมารดาหญิงหลอกลวงดังฟ้อง โจทก์ด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนเงินดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และจำเลยที่ ๒ ชอบพอรักใคร่กัน จำเลยที่ ๒ ตามไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ ๒ ส่งคนไปเจรจาจัดการขอขมาจำเลยที่ ๑ ตามประเพณี และเรียกค่าสินสอดทองหมั้น ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงทำพิธีขอขมา สิ้นค่าตระเตรียมงาน ๙๐๐ บาท และมอบเงินค่าสินสอดทองหมั้น ๑๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยที่ ๑ ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ ๒ ไปบ้านจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองให้ตำรวจจับโจทก์ หาว่าโจทก์หลอกลวงจำเลยที่ ๒ ไปเป็นภริยาทำผิดทางอาญาและจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมเป็นภริยาโจกท์อีกเป็นการหลอกลวงเอาเงินโจทก์ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๙๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์กับพวกร่วมกันฉุดคร่าจำเลยที่ ๒ ไปเพื่อการอนาจาร และโจทก์ได้ขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราจำเลยที่ ๒ หลายครั้งทำให้จำเลยทั้งสองเสียหาย ต้องเสียชื่อเสียงจำเลยที่ ๒ ต้องเสียสาวทำให้สินสอดทองหมั้นที่จะได้ลดลงคิดเป็น ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ติดต่อให้ฝ่ายโจทก์ขอขมาและไม่ได้เรียกร้องสินสอดทองหมั้น ขอศาลพิพากษายกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ ๒ รักใคร่โจทก์จึงติดตามไปอยู่เป็นภริยาโจทก์ จำเลยทั้งสองเสียหายอะไรบ้างก็มิได้กล่าวมาให้ชัด ค่าสินสอดทองหมั้นลดลงเพราะจำเลยที่ ๑ ได้รับจากโจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยที่ ๒ ตามไปอยู่กับโจทก์เองจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินค่าสินสอดทองหมั้น ๑๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ เพื่อให้โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ ๒ แล้ว ต่อมาจำเลยไม่ยอมให้จำเลยที่ ๒ อยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์หรือสมรสกับโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าสินสอดทองหมั้น ๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ค่าเสียหายอื่นจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๒ ตามโจทก์ไปเองจำเลยที่ ๑ รับสินสอดทองหมั้น ๑๐,๐๐๐ บาทไปจากโจทก์จริงเนื่องจากทำพิธีแต่งงานระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ เมื่อแต่งงานแล้วโจทก์และจำเลยที่ ๒ ก็ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อมาไม่ได้คำนึงถึงการจดทะเบียนสมรส การที่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ในเวลาต่อมา จะถือว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมสมรสกับโจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าสินสอดทองหมั้นคืนจากจำเลย จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ได้เสียเงินซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นค่าสินสอดทองหมั้นให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้นเป็นการให้เพื่อขอขมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ ๒ เนื่องจากโจทก์ได้พาจำเลยที่ ๒ หนีไปอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้สู่ขอตามประเพณีเท่านั้น และโจทก์จำเลยที่ ๒ ก็อยู่กินต่อมาโดยมิได้มีเจตนาที่จะสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสินสอดหรือของหมั้นและมิใช่เป็นการให้เพราะจำเลยที่ ๑ หลอกลวงดังฟ้องโจทก์ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนได้
พิพากษายืน

Share