แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์ของโจทก์ เก็บเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากผู้เช่าซื้อลูกค้าของโจทก์ได้แล้วเบียดบังยักยอกไม่นำส่งให้โจทก์ขาดบัญชีไป แล้วต่อมาจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงให้ไว้กับพนักงานและทนายความของบริษัทโจทก์ยอมรับค้างชำระเงินที่ไม่นำส่ง และยอมขอผ่อนชำระให้อันมีลักษณะครบถ้วนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดฐานยักยอกเช่นนี้หาได้ไม่ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ฟ้องแย้งเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าในการเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์จากจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องให้จำเลย ชำระค่าเช่าซื้อที่จำเลยเก็บได้จากผู้เช่าซื้อแล้วไม่นำส่งให้โจทก์หลายราย โดยคำฟ้องแย้งไม่มีรายละเอียดว่าจะได้จากเงินค่าเช่าซื้อที่เรียกเก็บจากผู้เช่าซื้อคนใด เป็นจำนวนเท่าใดและคิดเป็นบำเหน็จอย่างไรเป็นแต่กล่าวอ้างคลุม ๆ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นเท่านั้นเป็นคำฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่มีทางจะทราบและแก้ฟ้องแย้งของจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ของโจทก์ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัด เลยมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากผู้เช่าซื้อส่งแก่โจทก์ตามงวดที่กำหนด ครั้นระหว่างวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๙ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้บังอาจทุจริตกระทำผิดหน้าที่เบียดบังเอาเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ที่จำเลยเก็บได้แล้วจากผู้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ลูกค้าของโจทก์ ๙ รายไว้เป็นอาณาประโยชน์ของจำเลยไม่นำส่งให้โจทก์ขาดบัญชีไปรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓,๙๐๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๙ จำเลยได้ทำบันทึกให้ไว้ต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและทนายความของบริษัทโจทก์ยอมรับชำระเงินที่ขาดบัญชีทั้งหมดให้โจทก์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ ส่วนทางแพ่งขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินที่เบียดบังยักยอกเป็นจำนวนเงิน ๗๓,๙๐๕ บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๙ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับสภาพหนี้ ในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปีตามที่จำเลยตกลงกับโจทก์จนถึงวันฟ้องซึ่งโจทก์ขอคิดเป็นเงิน ๗,๑๔๔.๑๕ บาท และดอกเบี้ยในต้นเงิน ๗๒,๙๐๕ บาท อัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ตั้งแต่ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลแล้ว สั่งประทับฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีสวนแพ่ง
จำเลยให้การปฏิเสธในส่วนอาญาว่ามิได้มีเจตนาทุจริตยักยอกในส่วนแพ่งให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า ค้างเงินค่าเช่าซื้อที่จะต้องส่งแก่โจทก์จำเลยได้จัดการชำระหนี้ตามสัญญายอมให้โจทก์แล้วโดยผ่านทางธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ จำเลยมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาตั้งผู้แทนจำหน่าย ซึ่งเมื่อคิดหักกลบลบหนี้กันกับจำนวนเงินที่จำเลยค้างอยู่กับโจทก์โจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่อีกเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๘๒๗.๕๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง โจทก์และบังคับให้โจทก์ใช้ค่าบำเหน็จที่ค้างอยู่ ๓๓,๘๒๗.๕๐ บาทแก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้า จำเลยฟ้องแย้งไม่ได้เป็นคนละเรื่องกับฟ้องของโจทก์ฟ้องแย้งเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้จำหน่ายหรือยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓ แต่โจทก์ได้ยอมความกับจำเลยแล้วตามเอกสาร จ.๑ คดีเป็นอันระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) และฟังว่า เงินที่ธนาคารชำระให้โจทก์แทนจำเลยเป็นหนี้คนละรายกับที่จำเลยเก็บจากลูกค้าได้แล้วไม่นำส่งให้โจทก์ จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งได้ แต่เป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมและจำเลยยังไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้า พิพากษาให้ยกฟ้องส่วนอาญาให้จำเลยชำระเงินที่ค้างส่ง ๗๓,๙๐๕ บาทแก่โจทก์ กับให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๓๗,๐๐๐ บาท ตามข้อตกลงในเอกสาร จ.๑ นับแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๙ ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปและอีกร้อยละ ๑๒ ต่อปีในต้นเงิน ๓๖,๙๐๕ บาท นับแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาทแทนโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่าเอกสาร จ.๑ ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความคดีไม่ระงับ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดทางอาญาและจำเลยได้ชำระเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แล้วโจทก์ยังค้างค่าบำเหน็จจำเลยอีก ๓๓,๘๒๗.๕๐ บาท ตามจำนวนที่ฟ้องแย้ง ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดและมิได้กระทำผิดตามฟ้อง และให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนแพ่งให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จนายหน้าที่ยังค้างชำระ ๓๓, ๘๒๗.๕๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าบรรดาเงินที่จำเลยค้างชำระโจทก์เป็นหนี้สินทางแพ่งที่เกิดขึ้นตามข้อตกลง จะฟังว่าจำเลยเบียดบังยักยอกอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ไม่ได้ ทั้งโจทก์จำเลยได้ทำสัญญายอมความกันแล้ว ตามเอกสาร จ.๑ จำเลยได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระตามเอกสาร จ.๑ ให้โจทก์แล้วฟ้องแย้งของจำเลยไม่เคลือบคลุมโจทก์ยังค้างชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยเป็นจำนวนเงิน ๓๓,๖๑๖.๘๐ บาท พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยเป็นเงิน ๓๓,๖๑๖.๘๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และไม่ตึดสิทธิโจทก์จำเลยจะฟ้องร้องว่ากล่าวกันต่อไปในจำนวนหนี้และค่าบำเเหน็จนายหน้านอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ ๒ ศาล จำนวน ๓,๐๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกาต่อมาทั้งคดีส่วนอายาและคดีส่วนแพ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์
๑. การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ หากเป็นความผิดได้มีการประนีประนอมยอมความไปแล้วหรือไม่ เห็นว่าเอกสาร จ.๑ มีข้อความว่า “… ได้ตรวจสอบหลักฐานการชำระเงินจากผู้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ของบริษัทยิบอินซอย จำกัด ที่ชำระต่อนายเฟือ กาญจนะโกมล และส่งเงินไปชำระที่บริษัทแล้วส่วนหนึ่งยังคงเหลือที่นายเฟือ กาญจนะโกมลมิได้ส่งเป็นเงิน ๗๓,๙๐๕.๐๐ บาท (เจ็ดหมื่นสามพันเก้าร้อยบาทถ้วน) คือ… (รายละเอียดชื่อผู้เช่าซื้อและจำนวนเงินที่ยังค้างแต่ละราย)…ข้าพเจ้านายเฟือ กาญจนะโกมล ขอผัดชำระหนี้ดังนี้ (๑) ๓๗,๐๐๐ บาท (สามหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๙ (๒) ส่วนที่เหลือ ๓๖,๙๐๕ บาท (สามหมื่นหกพันเก้าร้อยห้าบาทถ้วน) ขอผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ และข้าพเจ้ายอมให้คิดดอกเบี้ยจากเงิน ๓๖,๙๐๕ บาทในอัตรา ๑๒% ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จนถึงวันชำระดอกเบี้ยพร้อมกับเงินต้นจึงบันทึกไว้” ลงชื่อจำเลยในท้ายเอกสารนั้น นายชาลี แบรนคอน หัวหน้าฝ่ายขายและนายดุม อินทุวงศ์ ทนายความบริษัทโจทก์ ลงชื่อเป็นพยาน ผู้ตรวจสอบหลักฐานตามบันทึกนี้คือนายชาลี แบรนดอน พนักงานของบริษัท กับนายดุม อินทุวงศ์ ทนายความของบริษัทโจทก์และบริษัทโจทก์เป็นผู้ยึดถือเอกสารนี้ไว้ ตามฟ้องโจทก์ยังอ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งได้ทำไว้ต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและทนายความของโจทก์ เอกสาร จ.๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ โดยสมบูรณ์ เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายชาลี แบรนดอน ไปร้องทุกข์จำเลยต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามสามยอด ตามเอกสาร จ.๗ ก็ได้อ้างเท้าถึงเอกสาร จ.๑ นี้เป็นมูลให้ดำเนินการสอบสวนคดีอาญาแก่จำเลย เพราะจำเลยไม่นำเงินมาชำระ หากโจทก์ได้รับเงินตามงวดที่จำเลยผ่อนชำระโจทก์คงไม่ร้องทุกข์กล่าวหาจำเลย และข้อหาที่กล่าวโทษจำเลยเป็นความผิดอันยอมความกันได้กรณีนี้จังฟังได้ว่าโจทก์กันจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้วอันมีผลทำให้สินธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสถานใดหรือไม่ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะแม้จะฟังว่าเป็นความผิดคดีก็เป็นอันระงับไปแล้วที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อนี้ชอบด้วยรูปคดีแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
๒. จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวนเงิน ๗๓,๙๐๕ บาท ตามเอกสาร จ.๑ ให้โจทก์แล้วหรือไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์ตามเอกสาร จ.๑ อีก ๗๓,๙๐๕ บาทตามฟ้อง
๓. จำเลยฟ้องแย้งได้หรือไม่ และเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งเงินค่าจำหน่ายสินค้าของโจทก์ จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ได้ เป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั่นเอง แต่ฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีรายละเอียดว่าเงินค่านายหน้าที่จำเลยเรียกร้องจะได้จากเงินค่าเช่าซื้อที่เรียกเก็บจากผู้เช่า ซื้อคนไหนเป็นจำนวนเท่าใด และคิดเป็นบำเหน็จอย่างไรตามข้อสัญญาจำเลยมีสิทธิจะได้ค่านายหน้าเพียง ๗% จากจำนวนเงินที่บริษัทได้รับชำระแล้วเท่านั้นแต่จำเลยได้อ้างคลุม ๆ เรียกเงินค่านายหน้าเป็นจำนวนเงินถึง ๓๓,๘๒๗.๕๐ บาท ทั้งที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยคิดจากยอดเงินรายใด อย่างไรจึงรวมกันเป็นจำนวนเงินเท่านั้น โจทก์ไม่มีทางจะทราบและแก้ฟ้องแย้งของจำเลยได้จึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุม
๔. จำเลยมีสิทธิได้ค่านายหน้าหรือไม่ เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องเคลือบคลุมซึ่งจะต้องยกฟ้องแย้งของจำเลยแล้วปัญหาที่ว่าจำเลยจะมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ ตามฟ้องแย้งหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้ง ๓ ศาล ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย