คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับ ส. สามีจำเลยเป็นบุตรของ ย. เมื่อ ย. ตายแล้ว ส. ได้เป็นผู้จัดการมรดกอันมีที่ดินมือเปล่า 1 แปลงกับเรือนในที่ดิน 1 หลัง ต่อมาได้มีการรื้อเรือนปลูกใหม่แทนหลังเดิมและปลูกห้องแถวขึ้นเก็บค่าเช่า ส. ตายไปโดยยังมิได้แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ ฐานะของ ส. ในการเป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ย่อมสิ้นสุดลง
ก่อนตาย ส. ทำพินัยกรรมยกที่ดินเรือนและห้องแถวนั้นให้จำเลยกับบุตร จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยก็ครอบครองทรัพย์สินเหล่านั้นมาโดยถือว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยรับมรดกจาก ส.และขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยครอบครองแทนโจทก์ด้วยหาได้ไม่ เมื่อจำเลยครอบครองมาเป็นเวลาถึง 5 ปีกว่าแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินนั้นและเมื่อโจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ประธานเสียแล้ว เรือนกับห้องแถวหากปลูกอยู่ในที่ดินนั้นตลอดจนค่าเช่าห้องแถวอันเป็นทรัพย์ส่วนควบและดอกผลของที่ดิน จึงตกเป็นของจำเลยไปด้วย โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนเช่นกัน

ย่อยาว

ได้ความว่า นางหะยีเยาะมารดาของนายอาลีโจทก์และนายสมานไทยพิทักษ์ สามีจำเลยมีที่ดินมือเปล่า 1 แปลง มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินนี้ 1 หลังเมื่อ พ.ศ. 2486 นางหะยีเยาะตาย โจทก์และนายสมานได้ร่วมกันขอให้ศาลตั้งนายสมานเป็นผู้จัดการมรดกของนางหะยีเยาะ ศาลมีคำสั่งตั้งนายสมานเป็นผู้จัดการมรดก ระหว่างนั้นโจทก์วิกลจริตและเกิดมีกรณีพิพาทกับคนอื่นเกี่ยวกับทรัพย์มรดกบางส่วนของนางหะยีเยาะที่นายสมานเป็นผู้จัดการมรดกจึงยังไม่มีการแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของนางหะยีเยาะและต่อมามีการปลูกบ้านขึ้นใหม่ในที่พิพาทแทนหลังเดิมและปลูกห้องแถวขึ้น5 ห้อง โดยจำเลยและนายสมานสามีเป็นผู้ครอบครองบ้านและเก็บค่าเช่าห้องแถวตลอดมา จนนายสมานตายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2504 ก่อนตายนายสมานได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดรวมทั้งที่ดินบ้านและห้องแถวให้จำเลยและบุตร จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนายสมานเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2504 ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกนายสมาน แล้วจำเลยกับบุตรได้ครอบครองทรัพย์มรดกของนายสมานตลอดทั้งที่ดินบ้านและห้องแถวพิพาทตลอดมาจนวันที่ 6 กันยายน 2509 โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้จำเลยแบ่งที่ดิน บ้านห้องแถว และค่าเช่าห้องแถวให้ครึ่งหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางหะยีเยาะ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะมิได้พิพาทกันเกี่ยวด้วยทรัพย์มรดกของนายสมานสามีจำเลย แต่พิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายหะยีเยาะซึ่งสามีจำเลยครอบครองแทนโจทก์ตลอดมาและการจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดนั้น เห็นว่าระหว่างที่นายสมานยังมีชีวิตอยู่ก็ถือได้ว่านายสมานได้ครอบครองทรัพย์พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหะยีเยาะ แต่เมื่อนายสมานตายแล้วทั้งยังทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาททั้งหมดให้แก่จำเลยและบุตรด้วย จนจำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนายสมานไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยก็เข้าครอบครองทรัพย์พิพาทตลอดมาในฐานะเป็นผู้รับมรดกนายสมาน ตลอดจนจัดการขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท ดังนี้จะถือว่าจำเลยยังคงครอบครองทรัพย์พิพาทแทนโจทก์สืบต่อจากนายสมานหาได้ไม่ เพราะฐานะการเป็นผู้จัดการมรดกนางหะยีเยาะของนายสมานย่อมสิ้นสุดลงเมื่อนายสมานตาย เมื่อจำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทโดยถือว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้รับมรดกจากนายสมานนับแต่นายสมานตาย จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วโจทก์ย่อมหมดสิทธิเรียกคืน เพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญและโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรค 2

ส่วนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท และห้องแถว 5 ห้องซึ่งยังมีประเด็นโต้เถียงกันอยู่ว่าใครเป็นคนออกเงินปลูกและปลูกอยู่ในหรือนอกที่พิพาท ตลอดจนค่าเช่าห้องแถวพิพาท ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป เพราะเมื่อฟังว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ประธานเสียแล้ว บ้านและห้องแถวซึ่งแม้จะฟังว่าปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดจนค่าเช่าห้องแถวอันเป็นทรัพย์ส่วนควบและดอกผลของที่ดินพิพาท จึงตกเป็นของจำเลยไปด้วย โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนเช่นกัน

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share