คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวกมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลมไปจนเกือบตกถนนนั้นหากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดเจนว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และไม่ต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขน หรือ 1 เมตร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหาย ๆ ก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนอีกราว 1 ศอก ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้ เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 80
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้วและฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถขึ้นหน้าผู้เสียหาย แล้วแกล้งหยุดโดยกระทันหันหลายครั้งเพื่อให้รถที่ผู้เสียหายขับชนท้ายรถยนต์จำเลยโดยเจตนาทำร้าย ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงตาย แต่ผู้เสียหายหยุดรถทันจึงไม่ชนท้ายรถจำเลย ครั้งสุดท้ายจำเลยขับรถแซงขึ้นหน้ารถผู้เสียหาย พอท้ายรถจวนจะพ้นก็หักหัวรถยนต์ของจำเลยทำให้ท้ายรถยนต์ของจำเลยฟาดกระทบเข้ากับส่วนหัวของรถยนต์ของผู้เสียหายโดยแรงเป็นเหตุให้รถยนต์ของผู้เสียหายเสียหลักเกือบตกลงข้างถนนโดยจำเลยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล โดยรถยนต์ของผู้เสียหายไม่พลิกคว่ำและไม่ตกถนน ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘,๘๐,๓๕๘,๙๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๕๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๑๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย โดยยังไกลต่อผลเพราะผู้เสียหายนั่งอยู่บนรถ ในรถยังมีตัวรถป้องกันการกระทบกระเทือนอีกชั้นหนึ่ง ถึงรถจะตกถนนหรือคว่ำผู้เสียหายอาจไม่บาดเจ็บหรือตายก็ได้ ถ้าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายจริง ๆ แล้ว คงจะขับรถชนตรงผู้เสียหายนั่งขับก็ได้ แต่จำเลยก็ไม่ทำเช่นนั้น คงผิดเฉพาะฐานทำให้เสียทรัพย์ฐานเดียว แต่พฤติการณ์ของจำเลยบังอาจขับรถแกล้งผู้เสียหายเช่นนี้ผิดวิสัยมารยาทที่ดีของคนขับรถยนต์ทั่วไป เป็นการกระทำเยี่ยงอันธพาล ควรได้รับโทษหนักเป็นพิเศษ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ จำคุก ๒ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ อีกข้อหาหนึ่ง
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ และการที่จำเลยขับรถยนต์บรรทุกคันใหญ่ว่ารถผู้เสียหายแซงชึ้นหน้ารถผู้เสียหายไปด้วยความเร็ว แล้วเบรคหยุดรถทันทีโดยไม่ให้อาณัติสัญญาณใด ๆ ในระยะที่ตัวรถห่างกัน ๖ -๑๐ วา เพื่อให้รถยนต์ผู้เสียหายชนท้ายรถจำเลยนั้น เมื่อได้ความว่ารถผู้เสียหายขับในอัตราความเร็วไม่สูงนัก และได้เบรคหยุดได้ทันทุกครั้ง แสดงว่าเบรครถของผู้เสียหายใช้การได้ดี และผู้เสียหายก็ระวังตัวอยู่ ถึงหากผู้เสียหายจะหยุดได้ไม่ทันและเกิดชนท้ายรถจำเลยขึ้น ก็คงจะไม่ได้รับภยันตรายถึงชีวิตหากจะได้รับอันตรายก็แต่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น แต่ที่จำเลยเห็นว่ากระทำดังนั้นไม่เกิดผลจึงจอดรถแอบซ็ายให้รถผู้เสียหายขับผ่านขึ้นไป แล้วจำเลยขับรถแซงขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยรถให้ท้ายรถจำเลยปาดหน้ารถผู้เสียหาย จนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายไม่ตกถนนลงไปจำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไม่ต้องสงสัย แต่ไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่า ถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ ๑ แขน หรือ ๑ เมตร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ อัตราความเร็ว ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แสดงว่าขับไม่เร็วนัก เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว ๑ ศอก ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ดังนี้ จึงยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ตาย เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถ ก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ ดังนี้ จึงเห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕,๘๐ ซึ่งศาลมีอำนาจลดโทษจำเลยได้
พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ อีกบทหนึ่งด้วย แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามมาตรา ๙๐ ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานนี้ให้หนักขึ้นอีก จึงไม่มีทางจะแก้โทษจำเลย นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share