คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ใน ครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย ก็มิใช่ข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เพราะองค์ประกอบความผิดนี้อยู่ที่ว่า จำเลยมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับ ใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจริง ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยใน ความผิดฐานนี้ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดตามฟ้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เงินของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ ไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดในคดีที่โจทก์ฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2) ศาลจึงไม่อาจริบเงินของกลางได้ และเห็นสมควรคืนให้แก่เจ้าของ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐ เวลากลางวัน จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๑ จำนวน ๒๐ เม็ด น้ำหนัก ๑.๘๐ กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนสั้นขนาด .๒๒ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ ๑ กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน ๑ ซอง และกระสุนปืนขนาด .๒๒ จำนวน ๕ นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและเงิน ๓๓,๐๐๐ บาท ที่ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๗๑ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพว่า มีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว แต่ปฏิเสธข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖, ๑๐๒ ด้วย พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก ๖ ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๑ ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานพาอาวุธปืนฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ เดือน รวมจำคุก ๖ ปี ๖ เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ วรรคสาม อีกกระทงหนึ่งจำคุก ๖ เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก ๓ เดือน รวมกับโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นกำหนดในความผิดอื่นแล้วเป็นจำคุก ๖ ปี ๙ เดือน คืนอาวุธปืนพร้อมซองกระสุนปืนและกระสุนปืนของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐ เวลากลางวัน ร้อยตำรวจเอกจิรวัฒน์ แนวจำปา ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ห้องหมายเลข ๖๙ โรงแรมบอสส์ จึงเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวพร้อมเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนเมื่อไปถึงพบประตูห้องหมายเลข ๖๙ เปิดอยู่ และจำเลยอยู่ในห้อง ร้อยตำรวจเอกจิรวัฒน์กับพวกเข้าตรวจค้นพบอาวุธปืนสั้นขนาด .๒๒ หมายเลขทะเบียน นว.๑/๖*๐๒๓ ซึ่งเป็นอาวุธปืนของผู้อื่น จำนวน ๑ กระบอก ซองกระสุนปืน ๑ ซอง กระสุนปืนขนาด .๒๒ จำนวน ๕ นัด และเงิน ๓๓,๐๐๐ บาท จึงยึดเป็นของกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็น ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกจิรวัฒน์และนายดาบตำรวจชาติชาย ไชยวัต เจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมจำเลยเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันพยานโจทก์ทั้งสองปากเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย แม้พยานโจทก์ทั้งสองปากจะเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุจำไม่ได้ว่าจำเลยแต่งกายอย่างไร และเมทแอมเฟตามีนที่ค้นได้จากตัวจำเลยบรรจุอยู่ในภาชนะอะไรนั้น ก็เป็นข้อบกพร่องในรายละเอียดเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานโจทก์ดังกล่าวเสียไป ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่อย่างไรก็ตามเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนเพียง ๒๐ เม็ด น้ำหนัก ๑.๘๐ กรัม ซึ่งไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสอง ทั้งโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานพฤติเหตุแวดล้อมมานำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้แก่ใครและที่ไหน อีกทั้งพยานโจทก์ทั้งสองปากก็ไม่เคยสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาก่อนและโจทก์มิได้นำสายลับมาเบิกความยืนยันให้เห็นว่า จำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอย่างไร ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เท่านั้น ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้ เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องนั้นเอง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสองของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการพิพากษาเกินคำขอและเพิ่มเติมโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายก็ตาม ก็มิใช่ข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เพราะองค์ประกอบความผิดนี้อยู่ที่ว่าจำเลยมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจริง ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดตามฟ้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคแรก อีกทั้งเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้ โจทก์ก็อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ย่อมมีอำนาจยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ และกรณีดังกล่าวนี้มิใช่เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาชอบแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยว่าเงินของกลางจำนวน ๓๓,๐๐๐ บาท เป็นเงินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบหรือไม่ เห็นว่า เงินของกลางดังกล่าวไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่น ซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒ และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิด ซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓ (๒) ดังนั้นเงินของกลางดังกล่าวจึงยังไม่อาจริบได้ตามขอ และเห็นสมควรคืนให้แก่เจ้าของ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ จำคุก ๒ ปี รวมกับโทษจำคุกในความผิดอื่นแล้วเป็นจำคุก ๒ ปี ๙ เดือน ไม่ริบเงิน ๓๓,๐๐๐ บาท ของกลางโดยให้คืนเงินของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑

Share