คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2997-2998/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายแต่ละบุคคลไปทำงานค้าประเวณี เป็นเจตนาที่กระทำต่อแต่ละบุคคลไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓, ๓๐๙ วรรคสอง, ๓๑๐, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙, ๑๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๔ และนับโทษจำเลยทั้งสองคดีนี้ต่อกันด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกันทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓ วรรคแรก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙ วรรคสี่ (ที่ถูกมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง และวรรคสี่) พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๕, ๗ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓ วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ การกระทำของจำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ลงโทษจำคุกกระทงละ ๖ ปี รวม ๓ กระทง รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑๘ ปี ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ชักชวนผู้เสียหายทั้งสามไปทำงานกับน้องสาวของ ผู้เสียหายที่ ๑ ที่ประเทศมาเลเซีย โดยร่วมมือกับจำเลยที่ ๒ และพวกที่อยู่ในประเทศมาเลเซียดำเนินการหลอกลวง ผู้เสียหายไปเพื่อค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซียที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ เพียงแต่แนะนำให้ผู้เสียหายทั้งสามรู้จักกับจำเลยที่ ๒ เท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับการไปทำงานของผู้เสียหายทั้งสามต่อไป เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยที่ ๑ แตกต่างกับคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างจำเลยที่ ๒ ให้พาผู้เสียหาย ทั้งสามไปทำงานกับน้องสาวของจำเลยที่ ๑ ที่ประเทศมาเลเซีย และหากจำเลยที่ ๑ มีน้องสาวอยู่ประเทศมาเลเซียจริง ก็น่าจะนำน้องสาวมาเบิกความให้เป็นประโยชน์แก่ตน และหากผู้เสียหายทั้งสามเต็มใจไปค้าประเวณีเองโดยสมัครใจ ผู้เสียหายทั้งสามคงไม่โทรศัพท์กลับมาบอกให้มารดาของพวกตนช่วยเหลือ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๑ จึงฟังไม่ขึ้น และ ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า เกี่ยวกับคดีนี้มีการช่วยเหลือผู้อื่นออกมาหลายคน แต่ไม่มีผู้ใดแจ้งความ คงมีแต่ผู้เสียหายทั้งสาม เท่านั้นที่แจ้งความและการกระทำของนาง ป. ที่ช่วยเหลือผู้เสียหายทั้งสามเป็นการกระทำเพื่อหาเสียงมากกว่า เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีไม่ปรากฏชัดว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือผู้อื่นไม่ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด และการกระทำของ นาง ป. นั้น แม้จำเลยที่ ๑ จะเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อหาเสียงก็ตาม แต่เป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายทั้งสามให้พ้นทุกข์และเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของชนในชาติ อันเป็นการกระทำตามหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๑ ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนฎีกาประการสุดท้ายที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ มีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายแต่ละบุคคลไปทำงานค้าประเวณี เป็นเจตนาที่กระทำต่อแต่ละบุคคลไป การกระทำของจำเลยที่๑จึงเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ มานั้น ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็น พ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share