แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 3 อายุต่ำกว่าสิบแปดปีจึงเข้าหลักเกณฑ์ ตาม ป.อ. มาตรา 18 วรรคสาม ที่จะเปลี่ยนระวางโทษสำหรับจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกห้าสิบปี แต่กรณีของจำเลยที่ 2 มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 18 วรรคสาม ที่จะเปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปีเช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 ได้
การลดมาตราส่วนโทษตาม ป.อ. มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วก็จำต้องลดโทษให้ทุกกระทงความผิด แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง ประกอบมาตรา 84, 87 วรรคสอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิต ในส่วนของจำเลยที่ 2 เมื่อรวมกับโทษกระทงอื่น คงให้จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หนึ่งในสาม เฉพาะในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 22 ปี 2 เดือน 20 วัน สำหรับจำเลยที่ 2 เมื่อรวมกับโทษที่ลดแล้วในความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี” คดีนี้ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาฟังได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 3 อายุต่ำกว่าสิบแปดปีจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวที่จะเปลี่ยนระวางโทษสำหรับจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกห้าสิบปี แต่กรณีของจำเลยที่ 2 นั้นปรากฏว่า จำเลยที่ 2 เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2521 และเหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2540 ดังนั้น ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 มีอายุกว่าสิบแปดปี จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคสาม ที่จะเปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 ได้ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นั้นยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง ประกอบมาตรา 84, 87 วรรคสอง ซึ่งเป็นคนละฐานความผิดต่างจากความผิดของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 เท่ากับโทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 ได้เช่นกัน นอกจากนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ให้ระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียวการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม เนื่องจากขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 อายุไม่เกินยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (1) และยังลดโทษให้แก่จำเลยที่ 2 อีกหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณานั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามเฉพาะความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่ลดมาตราส่วนโทษฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนให้จำเลยที่ 2 ด้วยนั้นไม่ถูกต้อง เพราะว่าการลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำความผิดเมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225″
พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 4 เดือน และลดโทษให้อีกกระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืน คงจำคุก 5 เดือน 10 วัน ฐานพาอาวุธปืน คงจำคุก 2 เดือน 20 วัน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว เป็นจำคุก 33 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2