แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อเป็นที่เห็นได้ว่าการที่จำเลยผู้รับประกันภัยถือว่าข้อความจริงที่ว่ารถเคยถูกชนมาก่อน ซึ่งโจทก์ผู้เอาประกันมิได้เปิดเผยให้จำเลยทราบนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะมีผลเป็นการจูงใจจำเลยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นกว่าที่เรียกไว้ หรือเป็นเหตุบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาด้วย เพียงแต่มีผลให้จำเลยไม่ยอมรับประกันภัยในจำนวนเงินที่โจทก์เอาประกันภัยไว้เท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 อันจะทำให้สัญญาประกันภัยเป็นโมฆียะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำรถยนต์เก๋งยี่ห้องเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ก.ท.ข.๖๒๔๔ ของโจทก์ไปประกันภัยไว้กับจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยรถยนต์และวินาศภัยอื่น ๆ จำเลยตกลงรับประกันภัยไว้ในราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดเวลา ๑ ปี หากรถยนต์ของโจทก์เกิดภัยพิบัติใด ๆ หรือถูกขโมยไปทั้งคัน จำเลยสัญญาว่าจะจ่ายเงินชดใช้ให้เท่าที่โจทก์ต้องเสียหายไป คงปรากฏตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ท้ายฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๕ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา โจทก์นำรถยนต์ไปธุระและจอดไว้ใกล้กับที่ว่าการอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยใส่กุญแจไว้เรียบร้อย ครั้นเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา โจทก์กลับมาไม่พบรถยนต์ของโจทก์ เข้าใจว่าถูกขโมยไป โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจหัวหมาก จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายหรือค้นหารถยนต์ของโจทก์พบ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยจ่ายเงินชดใช้ตามสัญญา จำเลยกลับบิดพลิ้ว จึงขอศาลได้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทน (ราคารถยนต์) พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑ ปี เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๙,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า รถยนต์ของโจทก์มิได้สูญหายไปจริงดังฟ้อง เดิมรถยนต์ของโจทก์คันนี้ถูกชนเสียหายมาก โจทก์ซื้อมาราคาไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท แล้วซ่อมแซมเล็กน้อย รถยนต์ยังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ราคาไม่ถึง ๑๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ปกปิดความจริงข้อนี้ไม่แจ้งให้จำเลยทราบ และไม่นำรถยนต์มาให้จำเลยตรวจสภาพก่อน เป็นการหลอกลวงทำกลฉ้อฉลให้จำเลยหลงเชื่อ ถ้าจำเลยทราบความจริงแล้วจะไม่ยอมทำสัญญารับประกันภัยกับโจทก์ในราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท เป็นการหลงผิดในสาระสำคัญแห่งสัญญา จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันภัยดังกล่าวต่อโจทก์และตกเป็นโมฆะแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหาย หากจะต้องรับผิดก็เพียง ๕๐ เปอร์เซนต์ เพราะที่รถยนต์หายไปเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างมากของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๕ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า รถยนต์คันที่เอาประกันภัยนี้เคยถูกชนมาก่อน แต่โจทก์ไม่ได้แจ้งความข้อนี้ให้จำเลยทราบ จะถือว่าสัญญาประกันภัยรายพิพาทเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕ หรือไม่ เห็นว่าสาระสำคัญของบทบัญญัติมาตรา ๘๖๕ อยู่ที่ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันภัยด้วย จึงเป็นโมฆียะ ข้อนี้นายมานะ สุขบาง ผู้จัดการแผนกประกันภัยรถยนต์ของบริษัทจำเลยเบิกความว่า ถ้าหากบริษัทจำเลยทราบว่ารถยนต์โจทก์เคยถูกชนมาก่อนแล้ว บริษัทจำเลยจะไม่ยอมรับประกันในจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท เป็นที่เห็นได้ว่า ข้อความจริงว่ารถเคยถูกชนมาก่อนที่โจทก์มิได้เปิดเผยให้จำเลยทราบนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะมีผลเป็นการจูงใจจำเลยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นกว่าที่เรียกไว้ หรือเป็นเหตุบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาด้วย เพียงแต่มีผลให้จำเลยไม่ยอมรับประกันภัยในจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๘๖๕ อันจะทำให้สัญญาประกันภัยรายพิพาทเป็นโมฆียะ ดังข้อฎีกาของจำเลย
พิพากษายืน