แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยตกลงให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ค่าธรรมเนียม ในการอายัดเงินของจำเลยซึ่งบุคคลภายนอกนำมาวางต่อศาลชั้นต้นย่อมตกเป็นพับด้วย
ค่าธรรมเนียมการอายัดเงินจะเรียกเก็บต่อเมื่อมีการขอให้จ่ายเงินมิใช่เรียกเก็บในขณะที่มีการอายัด เมื่อโจทก์เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่โจทก์และจำเลยก็เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 3 ครึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 เสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 1 ทั้งนี้ ตาม ตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 2 และข้อ 4
ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 4 และข้อ 5 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง มีหลักการสำคัญว่า คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้ศาลสั่งจ่ายเงินที่อายัดย่อมมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัด จำเลยก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง 5 ข้อ 4 แม้จำเลยจะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขออายัดเงินนั้น ก็ตาม
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ทั้งสองได้รับเงิน ๑๗,๑๑๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๑ ได้รับเงิน ๑๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท จากเงินที่บริษัทเหล็กไทยอินเดีย จำกัด นำมาวาง ศาลชั้นต้นไว้ตามที่โจทก์ทั้งสองร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษา ตามยอม และคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ขอรับเงิน ๑๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เจ้าหน้าที่ศาลได้หักค่าธรรมเนียมการอายัดจากส่วนของโจทก์ทั้งสองร้อยละ ๓ ครึ่ง เป็นเงิน ๕๙๘,๘๕๐ บาท จากส่วนของจำเลยที่ ๑ ร้อยละ ๑ เป็นเงิน ๑๑๘,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๗๑๖,๘๕๐ บาท จากจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวขอให้สั่งจ่ายเงิน ๗๑๖,๘๕๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งให้อายัดชั่วคราวให้บุคคลภายนอกส่งเงินมาให้เพื่อประโยชน์ในการ บังคับคดี เมื่อมีการจ่ายเงินจากบัญชีของศาล ฟังได้ว่ามีการบังคับคดีแล้ว การที่เจ้าหน้าที่ศาลคิดค่าธรรมเนียม จำนวน ๗๑๖,๘๕๐ บาท ถูกต้องแล้ว ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยตกลงให้ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับแล้ว ค่าธรรมเนียมในการอายัดเงินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งบุคคลภายนอกนำมาวางต่อศาลชั้นต้น ย่อมตกเป็นพับด้วย และค่าธรรมเนียมการอายัดนี้จะเรียกเก็บต่อเมื่อมีการขอให้จ่ายเงินมิใช่เรียกเก็บในขณะที่มีการอายัด เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ ๑ ก็เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่จำเลยที่ ๑ จึงต้องถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๙ วรรคหนึ่ง โดยโจทก์ทั้งสองต้องเสียค่าธรรมเนียม การอายัดร้อยละ ๓ ครึ่ง ส่วนจำเลยที่ ๑ เสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ ๑ ทั้งนี้ ตามตาราง ๕ ท้ายประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ ๒ และข้อ ๔
อนึ่ง ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามตาราง ๕ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ ๔ และข้อ ๕ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๙ วรรคหนึ่ง มีหลักการสำคัญว่าคู่ความฝ่ายใดเป็น ผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้ศาลสั่งจ่ายเงินที่อายัด ย่อมมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขอให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัด จำเลยที่ ๑ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ ๑ ของจำนวนเงินที่อายัดตาม ตาราง ๕ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ ๔ แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อขออายัดเงินนั้นก็ตาม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าธรรมเนียม การอายัดในส่วนที่เป็นหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองด้วยจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าธรรมเนียมการอายัดในส่วนของโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๕๙๘,๘๕๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์