คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6903/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้ว พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 120ผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษให้ดำเนินคดีจะเป็นผู้ใดหามีความสำคัญไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ยังไม่ได้คืนคิดเป็นเงิน ๓๓,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๙) (ที่ถูกมาตรา ๓๓๕ (๙) วรรคแรก) ประกอบด้วยมาตรา ๓๓๖ ทวิให้จำคุก ๔ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนคิดเป็นเงิน๓๓,๐๐๐ บาท แก่นายจิมมี่ ขันทอง ผู้เสียหายที่แท้จริง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายจิมมี่ ขันทอง ผู้เสียหายและนางสาวตวงเพ็ชร ศรีอำไพได้ว่าจ้างให้จำเลยขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะไปส่งที่ท่าอากาศยานดอนเมือง แล้วจำเลยได้ลักเอากระเป๋าเดินทางสีดำใบเล็กซึ่งภายในมีธนบัตรรัฐบาลอังกฤษ น้ำหอมและสมุดบันทึกรวมราคาเป็นเงิน ๓๓,๐๐๐ บาท ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย จ.๓ ของนายจิมมี่ไป ต่อมานางสาวตวงเพ็ชรได้ติดตามสืบหาจำเลยพบและแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยฐานลักทรัพย์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่านายจิมมี่ ขันทอง ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงมิได้ร้องทุกข์และมิได้มอบหมายให้นางสาวตวงเพ็ชรร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้แล้วพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๒๐ ผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษให้ดำเนินคดีจะเป็นผู้ใดหามีความสำคัญไม่
พิพากษายืน.

Share