คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5595/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่โจทก์ขอถอนฟ้อง โจทก์และฝ่ายจำเลยต่างยังไม่มีฝ่ายใดนำพยานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนคำฟ้องและคำให้การของฝ่ายตน ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นตามคำฟ้องของโจทก์หรือคำให้การของฝ่ายจำเลย จะรับฟังได้เพียงใดอยู่ที่พยานหลักฐานที่ต่างนำเข้าสืบสนับสนุนคำฟ้องและคำให้การของฝ่ายตน เมื่อยังไม่มีฝ่ายใดนำพยานเข้าสืบ การที่โจทก์ขอถอนฟ้องก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้ฝ่ายจำเลยต้องเสียเปรียบโจทก์ในเชิงคดี แม้โจทก์ขอถอนฟ้องเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ โดยการตั้งรูปคดีใหม่ตามที่ฝ่ายจำเลยคัดค้านก็ตาม ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะถอนฟ้องเมื่อใดก็ได้โดยอยู่ในเงื่อนไขและดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 และเมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตให้ถอนฟ้องแล้ว โจทก์มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ตามมาตรา 176 กรณีเช่นนี้ไม่อาจถือว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริตทำให้ฝ่ายจำเลยเสียเปรียบ ฉะนั้นศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ในฐานะกัปตันเรือควบคุมเรือของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทพุ่งชนท่าเทียบเรือของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 63,793,141.90 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งถึงแก่ความตายก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีและยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกนายสุชาติซึ่งเป็นกัปตันเรือที่แท้จริงเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกันกับจำเลยที่ 1
ในวันนัดไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยร่วมคัดค้านว่า ทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมเสียเปรียบในรูปคดี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้ยังมิได้สืบพยานโจทก์และอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ เพื่อความสะดวกแก่การพิจารณาและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ตามขอ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษ 175,000 บาท
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเป็นการชอบแล้วหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกาสรุปได้ว่า ที่โจทก์ถอนฟ้องนั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมเสียเปรียบ เพราะโจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่าหากสืบพยานดำเนินคดีต่อไป โจทก์ไม่มีทางชนะคดีแน่นอน เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยแล้ว ในเบื้องต้นก็เป็นสิทธิของโจทก์จะถอนฟ้องเสียเมื่อใดก็ได้ โดยอยู่ในเงื่อนไขและดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 เมื่อมีการถอนฟ้องแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 176 มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง และกระทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังนั้น เมื่อโจทก์ถอนฟ้องแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ การที่โจทก์ฟ้องคดีใหม่ โดยการตั้งรูปคดีใหม่เช่นที่จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกานั้น ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์กระทำการไม่สุจริตทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมเสียเปรียบ ส่วนที่จะถือว่าโจทก์ถอนฟ้องทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต้องเสียเปรียบ โจทก์ระทำไม่สุจริตไม่สมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงส่วนได้เสียของโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมในขณะถอนฟ้องว่าทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมเสียเปรียบหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามสำนวนได้ความว่า ขณะที่โจทก์ขอถอนฟ้อง โจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต่างยังไม่มีฝ่ายใดนำพยานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของฝ่ายตนเลย ทั้งคำฟ้องและคำให้การก็เป็นเพียงข้อความเบื้องต้นที่โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมให้ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร และจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมบรรยายคำให้การโต้เถียงข้อกล่าวหาของโจทก์ว่าตนไม่ต้องรับผิดเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นตามคำฟ้องหรือคำให้การจะรับฟังได้เพียงใดอยู่ที่พยานหลักฐานที่ต่างนำเข้าสืบสนับสนุนคำฟ้องและคำให้การของฝ่ายตน เมื่อยังไม่มีฝ่ายใดนำพยานเข้าสืบเช่นนี้ การที่โจทก์ขอถอนฟ้องก็ย่อมเห็นได้ว่าไม่มีเหตุที่จะทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต้องเสียเปรียบโจทก์ในเชิงคดี ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมจะได้คัดค้านที่โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้โดยชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 ดังเช่นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share