คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4079/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้นัดสืบพยานจำเลยพร้อมพยานโจทก์วันเดียวกัน ครั้นถึงวันนัดฝ่ายโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นให้สืบพยานจำเลยจนเสร็จ และถือว่าโจทก์ที่ไม่มาศาลไม่ติดใจสืบพยาน และมีคำสั่งให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน ต่อมาในช่วงบ่ายโจทก์ไปศาลจึงทราบเหตุและยื่นคำร้องขอให้สืบพยานโจทก์เนื่องจากจดเวลานัดผิดพลาด ซึ่งขณะนั้นศาลชั้นต้นก็ยังมิได้พิพากษา ดังนี้ จึงเห็นได้ว่า โจทก์ได้มาศาลก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิจารณาคำร้องของโจทก์ว่ามีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าสืบต่อไปหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า คดีต้องมีการสืบพยานจำเลยรวม 13 นัด โดยสืบพยานในช่วงเช้า 4 นัด และช่วงบ่าย 9 นัด แต่สืบพยานจำเลยได้เพียง 4 นัด นอกจากนี้อีก 9 นัด ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเอง 1 นัด และฝ่ายจำเลยขอเลื่อนคดี 8 นัด ซึ่งทุกนัดฝ่ายโจทก์มาศาล แสดงว่าฝ่ายโจทก์เอาใจใส่คดีมาตลอด การที่โจทก์ไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยพร้อมพยานโจทก์ในช่วงเช้า แต่ไปศาลในช่วงบ่าย จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าทนายความโจทก์จดเวลานัดผิดพลาดจริง ชอบที่จะให้โจทก์นำพยานเข้าสืบเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินตามเช็คจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยสั่งจ่ายให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยสืบพยานจนถึงนัดสุดท้ายวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๓ เวลา ๙ นาฬิกา ซึ่งเป็นนัดสืบพยานจำเลยพร้อมสืบพยานโจทก์ แต่โจทก์มิได้ไปศาล เมื่อจำเลยสืบพยานแล้วเสร็จและแถลงหมดพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน และมีคำพิพากษาในวันเดียวกัน ให้ยกฟ้อง วันดังกล่าวโจทก์มาศาลในตอนบ่ายและยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาโดยให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลสมควรใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าสืบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน โดยนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๑ ปรากฏว่าต้องนัดสืบพยานจำเลยรวมถึง ๑๓ นัด จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งนัดที่ ๑๓ คือวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๓ เป็นวันนัดสืบพยานจำเลยพร้อมสืบพยานโจทก์ แต่ทั้ง ๑๓ นัดดังกล่าวมีการสืบพยานจำเลยได้เพียง ๔ นัด ๆ ละ ๑ ปาก นอกนั้นอีก ๙ นัด ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเอง ๑ นัด จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุตัวความติดธุระสำคัญ ๑ นัด และอ้างเหตุจากทนายความจำเลยรวม ๗ นัด กับปรากฏอีกว่าทั้ง ๑๓ นัด เป็นการนัดสืบพยานในเวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา รวม ๙ นัด และนัดสืบพยานในเวลา ๙ นาฬิกา เพียง ๔ นัด คือ นัดที่ ๔ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๖ นัดที่ ๖ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ นัดที่ ๑๒ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๓ และนัดสุดท้ายวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๓ ซึ่งนอกจากนัดสุดท้ายแล้ว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแม้แต่นัดเดียวว่าทนายความโจทก์ไม่ไปศาล หรือเคยเป็นฝ่ายขอเลื่อนคดี ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีย่อมชี้ชัดว่า ฝ่ายโจทก์ได้เอาใจใส่คดีมาโดยตลอด ต่างกับฝ่ายจำเลยซึ่งอ้างเหตุขอเลื่อนคดีมาฝ่ายเดียวและฝ่ายโจทก์แถลงไม่คัดค้านเกือบทุกนัด ยกเว้นนัดที่ ๑๑ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ เพียงนัดเดียว อันเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นต้องกำชับมิให้ฝ่ายจำเลยขอเลื่อนคดีอีก การที่ในนัดสุดท้ายซึ่งเป็นวันสืบพยานจำเลยพร้อมสืบพยานโจทก์ แต่โจทก์มิได้ไปศาลตามเวลาที่ศาลนัด และศาลชั้นต้นขึ้นนั่งพิจารณาคดีสืบพยานจำเลยในเวลา ๑๑ นาฬิกา จนเสร็จโดยถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานแล้วมีคำสั่งให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน ต่อมาในเวลาบ่ายทนายความโจทก์ได้ไปศาลจึงทราบเหตุและยื่นคำร้องขอสืบพยานโจทก์โดยให้เหตุผลว่าจดเวลานัดผิดพลาดเป็นเวลาบ่าย ซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงเห็นได้ว่าทนายความโจทก์ได้มาศาลก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิจารณาคำร้องของโจทก์ว่ามีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าสืบต่อไปหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏ ย่อมมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าทนายความโจทก์จดเวลานัดผิดพลาดจริง จึงชอบที่จะให้โจทก์มีโอกาสนำพยานเข้าสืบเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจักบังเกิดแก่คู่ความทุกฝ่ายโดยเสมอภาคกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาคดีมานั้น ชอบด้วยเหตุผลในการดำเนินกระบวนพิจารณาแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share