คำสั่งคำร้องที่ 443/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองพิจารณาคดีโดยรวบรัด การนำสืบไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร และนำสืบไม่สมนั้น เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 2 ปี คืนชิ้นส่วนอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้เสียหาย ข้อหาลักทรัพย์และคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์แก่ผู้เสียหายให้ยก

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยฎีกาข้อกฎหมาย แต่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่รับฎีกา

จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีรวบรัด และวินิจฉัยข้อกฎหมายผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(7) เนื่องจากโจทก์สืบไม่สมและไม่ครบองค์ประกอบความผิดทางอาญาตามมาตรา 357 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รอการลงโทษ และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยมีสิทธิกล่าวอ้างปัญหาข้อกฎหมายในชั้นฎีกาได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ขอให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีโดยรวบรัด การนำสืบไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร และนำสืบไม่สม เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”

Share