แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ ประกอบกับในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้นำหลักประกันมาวางไว้ต่อศาลแล้ว หากโจทก์ชนะคดีก็รับชำระหนี้จากหลักประกันที่วางไว้ได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 152)
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน 70,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 30,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมกับชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องที่16 มีนาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วย คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน150,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงินจำนวน 90,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ทั้งนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 16 มีนาคม 2526) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา เฉพาะจำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148,147,145)
จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์โดยนำสมุดบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาวงเวียนใหญ่ จำนวนเงิน 150,000บาท มาวางประกันและได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นจนคดีถึงที่สุด (อันดับ 120,123)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว หากจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี 6 เดือน นับแต่วันฟ้องมาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง