คำสั่งคำร้องที่ 2047/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม จึงไม่รับ ฎีกาในส่วนของผู้ร้องที่ 1
ผู้ร้องที่ 1 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่ผู้ร้องที่ 1แถลงรับว่าเป็นภริยาจำเลยนั้นยังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าผู้ร้องที่ 1 เป็นบริวารของจำเลย และศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณา เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องที่ 1ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นบังคับคดี
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลย พร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายบริวาร และทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3011ตำบลบ้านพริก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก คดีถึงที่สุด และศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว ต่อมา ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ โดยสงบและเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของมา 45 ปีแล้ว และได้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ส่วนผู้ร้องที่ 2ได้ร่วมครอบครองที่พิพาทดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องที่ 1ผู้ร้องทั้งสองจึงมิใช่บริวารของจำเลย ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องและงดการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 173)
ผู้ร้องที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ศาลพิพากษาให้ขับไล่ ชั้นบังคับคดี ผู้ร้องที่ 1ยื่นคำร้องอ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้ร้องที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จึงเป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาว่าไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องที่ 1ชอบแล้ว จึงให้ยกคำร้อง

Share