คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเจ้าของเดิมโอนที่ให้โจทก์เมื่อเดือนธันวาคม 2488และนับตั้งแต่ ธันวาคม 2488เป็นต้นมา โจทก์ได้ทราบภายหลังว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าได้กระทำผิดกฎหมายการเช่าและผิดสัญญาการเช่าหลายประการดังนี้ ต้องแปลว่าโจทก์หาว่าจำเลยได้ทำผิดสัญญาตั้งแต่ ธันวาคม 2488 เป็นต้นมา
โจทก์ขอให้จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ใจความว่า ไม่สามารถจะปฏิบัติตามความประสงค์ของโจทก์ จำเลยจะอยู่ต่อไปจนสิ้นอายุสัญญาเช่า ดังนี้ ข้อความในหนังสือไม่ได้แสดงความยินยอมเลิกใช้ทรัพย์ตามความหมายในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า
จำเลยเช่าตึกแถวแล้วนำรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปเก็บไว้ในตึกแถวนั้น เมื่อสัญญาไม่ได้ระบุห้ามไว้จะถือว่าผิดสัญญาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากหม่อมหลวงนกแก้ว โจทก์ได้รับโอนสัญญาเช่าทรัพย์รายนี้ด้วยโดยหม่อมหลวงนกแก้วเป็นผู้ให้เช่า นางสายทองจำเลยเป็นผู้เช่าทรัพย์สินที่เช่ารายนี้คือตึกแถวชั้นเดียว 5 ห้องหมายเลข 1273ถึง 1277 เป็นที่ค้าขาย และมีตึกแถวและเรือนอีกได้แจ้งการโอนรายนี้ให้จำเลยทราบแล้วแต่ ธันวาคม 2488 นับแต่เดือนธันวาคม 2488เป็นต้นมา โจทก์ทราบภายหลังว่า (ก) จำเลยที่ 1 ได้ให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิอันมีในตึกแถวชั้นเดียวหมายเลขที่ 1273 ถึง 1274 ให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงหรือเข้าอยู่เป็นเจ้าของบ้านโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยที่ 1 (ข) จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์บรรทุกคนโดยสารเข้าไปเก็บในตึกทำการค้าขายนี้ทุกวัน อาจเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้ให้เช่าเสียหายเพราะเป็นของหนัก และมีน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นวัตถุไวไฟ โจทก์ได้ให้คำตักเตือนแล้ว ตามหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ลง 26 มกราคม 2489 จำเลยที่ 1 ยินยอมออกจากที่เช่าในวันสิ้นสัญญาเช่ารายนี้บัดนี้เกินกำหนดและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันเลิกกัน และให้ขับไล่จำเลยทั้งสองกับบริวาร จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่พิพาททั้งหมดจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีการค้าบ้างเป็นส่วนน้อย จำเลยที่ 2 อยู่ในที่พิพาทในฐานะบริวาร ตามสัญญาเช่ามิได้ห้ามไม่ให้นำรถยนต์หรือน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปเก็บในที่พิพาท และพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489 คุ้มครองจำเลย จำเลยที่ 2ให้การว่า จำเลยเข้าอยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงห้องเลขที่ 1273, 1274 ทั้งก่อนและหลัง ธันวาคม 2488 พิพากษาให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกันเฉพาะห้องเลขที่ 1273-1274 เท่านั้น ฟ้องนอกจากข้อเช่าช่วงให้ยก

โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยได้ทำผิดสัญญานับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2488 อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับโอนเป็นต้นมาซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่านับแต่วันที่โจทก์ได้รับโอนเป็นต้นมา จำเลยหาได้ทำผิดสัญญาไม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องนี้เมื่ออ่านฟ้องแล้ว ทำให้เข้าใจว่า โจทก์หาว่าจำเลยได้ให้เช่าช่วงแต่วันที่โจทก์รับโอนคือเดือนธันวาคม 2488 และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วง การที่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ แสดงความยินยอมจะออกจากที่เช่าในวันสิ้นสัญญาเช่านั้น ไม่เป็นข้อผูกพันจำเลยให้จำต้องออกไป ในเมื่อมีพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ คุ้มครอง

จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แสดงความยินยอมจะออกจากที่ในวันสิ้นสัญญา มีใจความว่า การที่โจทก์ให้จำเลยออกจากห้องภายใน 30 วัน นั้นทำความเดือดร้อนมาสู่จำเลยอย่างใหญ่หลวง จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามความประสงค์ของโจทก์ได้ จำเลยจะอยู่ต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าจะสิ้นอายุ ดังนี้ ข้อความในหนังสือไม่ได้แสดงความยินยอมเลิกใช้ทรัพย์ตามความหมายในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า

ข้อที่ว่าจำเลยนำรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในร้านค้าอาจจะทำให้โจทก์เสียหายนั้น มิได้ห้ามไว้ในสัญญาจะถือว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ได้

พิพากษายืน

Share