คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์นำไปชำระมิฉะนั้นจะริบมัดจำตามสัญญา การที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญา แม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้ต่อพนักงานที่ดินเมื่อทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปก่อน แล้วมาขอรับค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของจำเลยในคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 10368/2518 ได้ และจ่ายเงินแล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจำเลยมีหมายให้นำไปชำระภายใน15 วัน นับแต่วันรับหมาย มิฉะนั้นจะริบเงินที่ชำระไว้แล้วโจทก์มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้วนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร จึงมีหนังสือแจ้งจำเลยขอหักภาษีเงินได้จำนวน 1,850,000 บาท ไว้จากเงินที่ต้องชำระให้จำเลย จำเลยให้โจทก์นำเงินส่วนที่เหลือไปชำระตามกำหนด ส่วนภาษีเงินได้หากจะต้องชำระโจทก์ต้องร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีของจำเลยคืนให้ภายหลังโจทก์จึงนำเงินค่าที่ดินที่เหลือไปชำระ ต่อมาจำเลยจึงคืนเงินค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้โจทก์ การที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ทำให้โจทก์เสียหายเพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินค่าภาษีดังกล่าวให้จำเลยจนถึงวันที่จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นให้โจทก์ ขอให้จำเลยชดใช้ดอกเบี้ยดังกล่าวที่โจทก์ชำระแก่ธนาคารคืนโจทก์ จำเลยให้การว่าการขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้องเป็นการขายทอดตลาดเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเจ้าพนักงานบังคับคดีมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงมิใช่ผู้มีเงินได้ โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาในประกาศขายทอดตลาดการที่โจทก์ต้องจ่ายดอกเบี้ยตามฟ้องเป็นเรื่องของโจทก์ จำเลยกระทำโดยชอบจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,850,000 บาทนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2527 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2527 จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เมื่อวันที่17 กันยายน 2525 โจทก์ประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ในคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 10368/2518 ระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด โจทก์บริษัท ส.บูรพากิจ กับพวก จำเลย ได้ในราคา 18,500,000 บาทโจทก์วางเงินมัดจำในวันซื้อจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ ของราคาซื้อตามข้อกำหนดของจำเลย เป็นเงิน 4,625,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก13,875,000 บาท โจทก์สัญญาว่าจะนำไปชำระให้เจ้าพนักงานบังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันซื้อขาย มิฉะนั้นยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีริบเงินมัดจำที่วางไว้ได้ ภายหลังการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้ จำเลยที่ 2 ในคดีนั้นยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายรายนี้เสีย โจทก์จึงต้องรอการรับโอนที่ดินไว้จนกว่าเรื่องที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอที่กล่าวแล้วถึงที่สุด หลังจากนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหมายลงวันที่ 1 มิถุนายน 2527 ให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือไปชำระให้แก่จำเลยภายใน 15 วันนับแต่วันรับหมาย ซึ่งปรากฏว่า โจทก์ต้องนำเงินไปชำระภายในวันที่ 7กรกฎาคม 2527 มิฉะนั้นจำเลยจะริบมัดจำ โจทก์เห็นว่าตามประมวลรัษฎากรที่แก้ไขแล้ว มาตรา 50 โจทก์ผู้ซื้อที่ดินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย นำส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน ตามมาตรา 52 วรรคสอง โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 15 มิถุนายน 2527 ถึงจำเลยขอหักภาษีเงินได้จำนวน 1,850,000 บาทจากค่าที่ดินที่โจทก์ยังจะต้องชำระเพิ่มเติมให้จำเลย จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 28 มิถุนายน 2527 ยืนยันให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือให้จำเลยจนครบถ้วน ส่วนภาษีเงินได้หากมีการชำระ โจทก์ต้องดำเนินการร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีพิจารณาคืนให้โจทก์ในภายหลัง…ฯลฯ…ครั้นวันที่ 9 กรกฎาคม 2527โจทก์กลับนำเงินค่าที่ดินคงเหลือทั้งหมด 13,875,000 บาท ไปชำระให้จำเลย วันที่ 18 กรกฎาคม 2527 โจทก์ไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตามที่โจทก์ประมูลได้ให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องนำเงินไปชำระภาษีเงินได้ 1,850,000 บาทแทนจำนวนเงินที่จำเลยไม่ยอมให้หัก หลังจากนั้นโจทก์ขอรับเงินจำนวนนั้นคืน ซึ่งจำเลยจ่ายคืนให้โจทก์แล้วในวันที่ 27 กันยายน 2527มีปัญหาว่า จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินจำนวนนั้นให้จำเลยจนถึงวันที่จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นให้โจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการที่โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมด 13,875,000 บาทให้จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้จำนวน 1,850,000 บาทไว้ ณ ที่จ่ายตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ก็เป็นเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระให้ครบ จำเลยจะริบมัดจำ ซึ่งตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินข้อ 3 ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิริบมัดจำในกรณีเช่นนี้ได้ ส่วนจำเลยจะริบได้จริงหรือไม่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ดังนั้นการที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญาจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ เพราะแม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ตามสัญญา ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของละเมิด เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยอันเป็นค่าเสียหายให้โจทก์ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share