คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คณะกรรมการพิจารณากักคุมตัวจัดกิจการ หรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติเข้าดำเนินการยึดหรือจำหน่ายทรัพย์สินในห้างบางกอกดิสเพนซารี่อันเป็นของห้างบี.กริมแอนด์โกนั้นจึงเป็นการเข้าควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติแล้ว
ความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ เป็นเรื่องควบคุมจัดกิจการและทรัพย์สินตามอำนาจในพระราชบัญญัติ ซึ่งจะต้องกระทำเป็นการเริ่มต้น ด้วยการเข้าดำเนินกิจการ และเข้าครอบครองทรัพย์สินแทนศัตรูต่อสหประชาชาติ คณะกรรมการจะต้องจัดการและรับผิด เสมือนเป็นกิจการของตนเอง

ย่อยาว

ความว่า เดิมห้างหุ้นส่วนสามัญ ปี.กริม แอนด์โก ซึ่งดำเนินกิจการเพื่อชนชาติเยอรมัน ได้เช่าตึกของม.จ.ทิพยรัตนประภา ใช้เป็นที่ทำการค้าของห้างบางกอกดิสเพนซารี่ซึ่งห้าง บี.กริม เป็นเจ้าของ ต่อมาบริษัทโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ตึกรายนี้จาก ม.จ.ทิพยรัตนฯ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2488 จำเลยได้เข้ายึดทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ ซึ่งมีอยู่ในตึกรายนี้ชั้นล่าง โดยปิดประตูตีตรา เพื่อรักษาทรัพย์สินภายในไว้เฉย ๆ มิได้ดำเนินกิจการค้าอย่างใดต่อไป จำเลยส่งมอบตึกรายนี้คืนให้โจทก์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2490 ปรากฏว่า กระจกด้านหน้าของตึกชั้นล่างแตก 2 บาน ราคาอย่างต่ำ บานละ4,000 บาทจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด ศาลชั้นต้นพิพากษาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าตึกให้โจทก์ แต่ให้ยกคำร้องที่เรียกราคากระจกเสียศาลอุทธรณ์แก้ให้จำเลยใช้ค่ากระจก 8,000 บาทให้แก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการกักคุมตัวและควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ 2488 มาตรา 3 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศระบุรายชื่อหรือประเภทของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติกักคุมตัว และควบคุมจัดกิจการ หรือทรัพย์สินได้ และในวรรค 2 ของมาตรานั้นยังได้บัญญัติว่า บุคคลผู้เป็นศัตรูต่อสหประชาชาตินั้นให้หมายความถึงนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยหรือองค์การรูปอื่นใด แม้มิได้เป็นนิติบุคคลที่กระทำการเพื่อประโยชน์ผู้เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติหรือ บุคคลเหล่านี้มีประโยชน์อยู่ด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยเข้าดำเนินการยึดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของห้างบางกอกดิสเพนซารี่ อันเป็นของห้าง บี.กริมแอนด์โก จึงต้องเป็นการเข้าควบคุมจัดการหรือทรัพย์สินของบุคคลผู้เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติแล้ว ที่จำเลยเถียงว่า ห้างบี.กริมแอนด์โกเป็นนิติบุคคล มีสัญชาติเป็นไทย หรือผู้ลงนามในสัญญาเช่าเป็นชาติสวิสนั้นฟังไม่ได้ส่วนข้อที่ว่าจำเลยเถียงว่า ตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการ หรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาตินั้นอาจทำได้ถึง 4 ประการ แต่สำหรับกรณีนี้จำเลยเลือกทำแต่ประการที่ 2 คือตามมาตรา 3(2) เท่านั้นจำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้รับโอนกิจการหรือทรัพย์สินมาจัดการเสมือนเป็นของจำเลยเองตามมาตรา 3(1) นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ความตามมาตรา3 แห่งพระราชกฤษฎีกานั้น อาศัยอำนาจมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการนี้ ซึ่งในตัวพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทำแก่บุคคลผู้เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติไว้เป็น 2 ประการ คือกักคุมตัวอย่างหนึ่งและควบคุมกิจการ หรือทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่ง และในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัตินั้น จึงให้อำนาจในการควบคุมจัดกิจการตามวิธีการและหลักเกณฑ์ ซึ่งกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ฉะนั้นความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกานั้น จึงเป็นเรื่องควบคุมจัดกิจการและทรัพย์สินตามอำนาจใน พระราชบัญญัตินั้นเอง ฉะนั้นอำนาจของคณะกรรมการในเรื่องนี้จะต้องกระทำเป็นการเริ่มต้นด้วยการเข้าดำเนินกิจการและเข้าครอบครองทรัพย์สินแทนศัตรูต่อสหประชาชาติตามมาตรา 3(1) แห่งพระราชกฤษฎีกานั้นเสมอไป ส่วนการกระทำตามอนุมาตรา 2, 3, 4 นั้น เป็นรายละเอียดในการเข้าควบคุมจัดกิจการต่อไป อีกทีหนึ่งเมื่อเป็นดังนี้ การที่จำเลยเข้ายึดทรัพย์สินของห้าง บี.กริม จึงเป็นการเข้ากระทำการควบคุมจัดกิจการของห้าง บี.กริม แทนศัตรูต่อสหประชาชาติซึ่งจำเลยจะต้องจัดการและรับผิดเสมือนเป็นกิจการของจำเลยเอง จำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความแห่งสัญญาเช่ารายพิพาทนี้

พิพากษายืน

Share