คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องขอพิสูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2480 มาตรา 28 ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเนิดนั้นแม้ผู้ร้องจะได้ร้องทางเจ้าพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้วให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสียก็ดี ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิมาร้องขอพิสูจน์ทางศาลได้อีก

ย่อยาว

ผู้ร้องได้เข้ามาถึงกรุงเทพฯ ทางเรือจากประเทศจีน โดยอ้างว่าเป็นบุคคลมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด คือได้เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดามารดาได้ส่งผู้ร้องไปประเทศจีนเพื่อการศึกษาเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองสอบสวนแล้วสั่งยกคำร้องขอผู้ร้องที่ขอให้แสดงว่า ผู้ร้องมีสัญชาติเป็นไทยนั้นเสีย ผู้ร้องได้ร้องต่ออธิบดีกรมตำรวจ ๆ สั่งยืนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองผู้ร้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๆ สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสอบสวนแล้วคงสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสียอีกผู้ร้องจึงมาร้องต่อศาลแพ่งในคดีนี้ ขอพิสูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง 2480 มาตรา 28 ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเนิด

ศาลแพ่งส่งสำเนาให้พนักงานอัยการ ๆ คัดค้านว่าผู้ร้องหมดสิทธิที่จะมาร้องต่อศาล

ศาลแพ่งเห็นว่า เมื่อผู้ร้องได้เลือกขอพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานแล้ว จะมาขอพิสูจน์ทางศาลอีกไม่ได้ จึงให้ยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวน และมีคำสั่งใหม่ตามรูปความ

พนักงานอัยการผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ว่าเมื่อผู้ร้องได้ร้องทางพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้ว จะมาร้องขอพิสูจน์ทางศาลอีกได้หรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อไม่มีบทบัญญัติห้ามไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ผู้ร้องก็ย่อมมีสิทธิจะมาร้องทางศาลอีกได้ เพราะปัญหาที่จะชี้ขาดเรื่องสัญชาติของบุคคลว่า เป็นไทยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวแก่สิทธิของบุคคลอย่างสำคัญมาก ซึ่งควรจะได้รับการพิจารณาและชี้ขาดจากศาล ส่วนข้อที่เกรงว่าคำสั่งของทั้งสองทางอาจขัดกันได้นั้น ก็เห็นว่าคำสั่งของศาลย่อมต้องเป็นคำบังคับเด็ดขาดศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาชอบแล้ว

จึงพิพากษายืน

Share