คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3962/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่บ้านผู้เสียหายเพื่อให้จำเลยที่ 2ที่ 3 กู้เงินผู้เสียหายโดยใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ สำเนาทะเบียนบ้าน และบัตรประจำตัวประชาชนปลอมเป็นหลักฐานการขอกู้เงิน และไปจอดรถรออยู่ริมบึง ซึ่งพันตำรวจตรี บ. ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสามได้วางกำลังเจ้าพนักงานตำรวจไว้รอบบึงเจ้าพนักงานตำรวจได้วิทยุแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบ ตั้งแต่ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วไปจอดรถรออยู่ระหว่างจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1รู้ตัวจึงขับรถยนต์หลบหนี เจ้าพนักงานตำรวจวิทยุสกัดจับกุมไว้ได้ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 รับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในการปลอมเอกสารนำเอกสารที่ช่วยกันทำปลอมขึ้นไปถ่ายสำเนาหลายครั้งและขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตั้งแต่วันแรกและไปนอนค้างคืนที่โรงแรมในอำเภอ และวันรุ่งขึ้นก็ยังขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่บ้านผู้เสียหายอีก และขณะถูกจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจค้นในรถก็พบกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 พยานหลักฐานโจทก์จึงปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันพยายามฉ้อโกงและฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการและเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83,91, 264, 265, 266, 268, 341, 342 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266(1), 86 (ที่ถูกประกอบมาตรา 86) และมาตรา 342(1) ประกอบมาตรา 80, 86 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผู้สนับสนุนใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ให้จำคุก 8 เดือน จำเลยที่ 2และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266(1), 83 (ที่ถูกประกอบมาตรา 83) และมาตรา 342(1) ประกอบมาตรา 80,83 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 1 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันพยายามฉ้อโกงและฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการและเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่8 มกราคม 2540 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยที่ 2 และที่ 3 มาขอกู้เงินจากผู้เสียหายที่บ้านโดยใช้หลักฐานตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เมื่อตรวจดูสำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแล้วน่าเชื่อว่าเป็นเอกสารปลอมเพราะมีร่องรอยพิรุธ เนื่องจากผู้เสียหายเคยถูกหลอกมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงวางแผนให้มารับเงินในวันรุ่งขึ้นโดยให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินไว้และแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อจับกุม วันที่ 9 มกราคม 2540 จำเลยที่ 2 และที่ 3มารับเงินโดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะมาส่งที่หน้าบ้านผู้เสียหายแล้วขับรถไปจอดรออยู่ริมบึงพลาญชัย ขณะจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 รู้ตัวจึงขับรถยนต์หลบหนี เจ้าพนักงานตำรวจสกัดจับกุมไว้ได้ ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 และไปจอดรถรออยู่ริมบึงพลาญชัย ซึ่งพันตำรวจตรีบุญฤทธิ์ ชวีวัฒน์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสามเบิกความว่า ขณะนั้นได้วางกำลังเจ้าพนักงานตำรวจไว้รอบบึงพลาญชัย เจ้าพนักงานตำรวจได้วิทยุแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบตั้งแต่ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้วไปจอดรถรออยู่ ระหว่างจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 รู้ตัวจึงขับรถยนต์หลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจวิทยุสกัดจับกุมไว้ได้ เมื่อพิจารณาประกอบรายละเอียดคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งจำเลยที่ 1 รับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในการปลอมเอกสารนำเอกสารที่ช่วยกันทำปลอมขึ้นไปถ่ายสำเนาหลายครั้งและขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตั้งแต่วันแรกและไปนอนค้างคืนที่โรงแรมในอำเภอเมืองมหาสารคาม และวันรุ่งขึ้นก็ยังขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 และที่ 3ที่บ้านผู้เสียหายอีก และจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า ขณะถูกจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นในรถก็พบกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพันตำรวจตรีบุญฤทธิ์กับร้อยตำรวจโทคงศักดิ์ จันทร์ระสา เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยที่ 1 และพนักงานสอบสวนจะรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งหรือเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 1 เองเบิกความรับว่ารับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจในข้อหาปลอมเอกสาร ฉะนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันพยายามฉ้อโกงและฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการและเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share