คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวมีอำนาจประกาศห้ามการขนย้ายข้าวทางทะเลเป็นเด็ดขาดเพราะถือว่าเท่ากับเป็นการกำหนดเขตขึ้นเอง เพราะฉะนั้นประกาศของคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวฉบับที่ 9 และฉบับที่12 จึงไม่ขัดต่อมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.สำรวจและกักกันข้าวและมีผลใช้ได้ ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันขนย้ายข้าวสาร ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการอันเป็นเขตที่คณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวได้ประกาศเป็นเขตห้ามขนย้ายข้าวออกทางทะเล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการข้าวที่ขนนี้จำเลยได้ขนออกไปทะเลแล้ว แต่ยังไม่ทันออกก็ถูกเจ้าพนักงานจับเสียก่อน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 ฉบับที่ 9 และฉบับที่ 12

จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่าประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวที่โจทก์อ้างเป็นโมฆะ เพราะออกนอกเหนืออำนาจตามที่มาตรา 10แห่งพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวได้ให้ไว้

ศาลจังหวัดสมุทรปราการวินิจฉัยข้อตัดฟ้องของจำเลยว่า มาตรา 10 ให้อำนาจคณะกรรมการที่จะประกาศกำหนดเขตห้ามขนย้ายข้าวออก คณะกรรมการจะกำหนดเขตกว้างขวางหรือแคบจำกัดเพียงใดก็ได้ตามประกาศของคณะกรรมการฉบับที่ 9 ข้อ 1 กำหนดเขตท้องที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นเขตห้ามการขนย้ายและข้อ 3 ในประกาศฉบับนี้ ว่าหากจำเป็นต้องขนย้ายทางทะเลไปยังเกาะแห่งจังหวัดนั้นก็จะต้องขออนุญาตด้วย เท่ากับจำกัดเขตขนย้ายในจังหวัดสมุทรปราการให้แคบเข้าหน่อย ครั้นต่อมาคงจะเห็นว่าข้อ 3 นี้ยังไม่รัดกุมพอ จึงได้ประกาศฉบับที่ 12 ห้ามมิให้ขนย้ายทางทะเลเป็นเด็ดขาด จึงเห็นว่าก็เป็นการกำหนดเขตนั่นเอง คือกำหนดเขตเฉพาะบนพื้นแผ่นดินแห่งจังหวัดสมุทรปราการเท่านั้นออกไปทะเลถือว่าเป็นนอกเขต ประกาศของคณะกรรมการย่อมไม่เป็นโมฆะ ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยทุกคนทำผิดดังโจทก์ฟ้องให้จำคุกนายแสวงกับนายกิมอิ๊วคนละ 5 ปี ปรับคนละ 10000 บาท จำเลยอื่นเป็นเพียงลูกจ้างให้จำคุกคนละ 6 เดือน ส่วนนายพัน บุญเรืองจำเลยเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบเป็นจำคุก 8 เดือน เรือและข้าวของกลางไม่ริบ ให้จ่ายเงินสินบลร้อยละ 30 เงินรางวัลร้อยละ 25 จากเงินค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด 2489 มาตรา 7 และ 8

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อตัดฟ้องของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่รูปคดีควรเชื่อตามข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงมีเหตุผลพอให้ชี้ว่าจำเลยได้สมคบกันนำข้าวออกทางทะเลจริงดังฟ้อง ส่วนข้อตัดฟ้องของจำเลยนั้นก็เห็นว่าข้อความในประกาศที่ห้ามมิให้ขนย้ายทางทะเลนั้นมิได้นอกขอบเขตของพระราชบัญญัติแต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ให้จำคุกนายแสวงจำเลย 1 ปี ปรับ 10000 บาท จำเลยนอกนั้นปรับคนละ 150 บาท เพิ่มโทษนายพัน บุญเรืองจำเลย 1 ใน 3 คงปรับ 200 บาท และให้จ่ายสินบลและรางวัลตามกฎหมายและอัตราของศาลชั้นต้น เว้นแต่จำเลย 7 คนที่ส่งสำเนาฎีกาไม่ได้ กับนายฮะง้วนจำเลยที่ยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share