คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมมีข้อความระบุไว้ว่า ให้นาแปลงหนึ่งแก่ผู้รับ2 คนคนละครึ่ง แต่มีเงื่อนไขว่าให้ผู้รับคนหนึ่งให้เงินแก่ผู้รับคนที่ 2 เป็นเงิน 200 บาท ถ้าผู้รับคนที่หนึ่งไม่ให้เงิน 200 แก่ผู้รับคนที่ 2 ก็ให้นาแปลงนี้เป็นของผู้รับคนที่ 2 คนเดียว ดังนี้ ถ้าผู้รับคนที่ 1 ตายเสียก่อนผู้ทำพินัยกรรม ผู้รับคนที่ 1 ก็ไม่ได้ชำระเงิน 200 บาท เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้รับคนที่ 2 ก็ไม่มีโอกาสจะได้รับส่วนครึ่งหนึ่งของผู้รับคนที่หนึ่งตามเงื่อนไขนั้นได้

ย่อยาว

นางทรัพย์ทำพินัยกรรม ข้อ 1(4) มีความว่า “ที่นาโฉนดที่ 1788 ตำบลกระแจะ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 12 วา นาแปลงนี้ให้นางนพ ขำกล่อมกับนางสินคนละครึ่ง ให้เป็นสินเดิมของนางนพและนางสิน แต่นางสินต้องให้เงินนางนพ 200 บาท จึงรับส่วนแบ่งที่นาไปได้ ถ้านางสินไม่ให้เงิน 200 บาทแก่นางนพที่นาแปลงนี้คงให้เป็นของนางนพแต่ผู้เดียว” ต่อมา พ.ศ. 2485 นางสินตาย ครั้นพ.ศ. 2487 นางทรัพย์ตาย

โจทก์ผู้เป็นหลานซึ่งเป็นทายาทของนางทรัพย์ จึงฟ้องเรียกนาแปลงพิพาทครึ่งหนึ่ง โดยอ้างว่านางสินตายก่อนนางทรัพย์ผู้ทำพินัยกรรมนาส่วนที่ให้นางสิน จึงต้องกลับเป็นมรดกของนางทรัพย์นอกพินัยกรรม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โดยเหตุที่นางสินมิได้ปฏิบัติการชำระเงินแก่นางนพจนนางสินตาย แม้โจทก์เป็นหลานโดยตรงก็ไม่อาจรับมรดกแทนที่ได้ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พินัยกรรมนั้นมีข้อความระบุไว้ชัดว่าให้คนละครึ่ง แต่มีเงื่อนไขว่าให้นางสินให้เงินแก่นางนพ 200 บาท เท่านั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นางสินมิได้ปฏิบัติการชำระเงินแก่นางนพจนนางสินตายไปนั้นก็เห็นว่านางสินได้ตายเสียก่อนพินัยกรรมนี้จะมีผลบังคับ จะให้นางสินปฏิบัติการชำระเงินได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้นางนพก็ไม่มีโอกาสจะได้รับส่วนครึ่งหนึ่งของนางสินตามเงื่อนไขนั้นได้ และเมื่อฟังว่าเป็นการให้คนละครึ่งแล้ว โจทก์ก็ต้องชนะคดีตามที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดมา

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share