แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกจ้างและกรรมการลูกจ้างโดยอ้างว่าผู้คัดค้านฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ว่าลูกจ้างต้องไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่แสวงหาประโยชน์จากการกู้ยืมภายในบริเวณที่ทำการหรือโรงงานหรือหอพักที่นายจ้างจัดให้ ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรงโดยผู้คัดค้านให้ลูกจ้างของผู้ร้องกู้ยืมเงิน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ที่ให้กู้ยืมเงินคือ บ. ไม่ใช่ผู้คัดค้านเหตุที่ผู้คัดค้านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะ ม. ไปพบผู้คัดค้านแจ้งว่ากำลังเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ผู้คัดค้านจึงรับไปติดต่อกับ บ. ลูกพี่ลูกน้องกับผู้คัดค้านซึ่งมีอาชีพปล่อยเงินกู้ให้อันเป็นการช่วยเหลือ ม. หลังจากที่ผู้คัดค้านติดต่อแล้ว บ. ยอมให้กู้ยืมโดยมอบเงินให้ผู้คัดค้านนำไปมอบให้ ม. การที่ผู้คัดค้านรับมอบเงินกู้จาก บ. นำไปให้ม. จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเพื่อช่วย ม. ให้ได้รับเงินกู้จาก บ. เช่นเดียวกัน แม้ บ. จะคิดดอกเบี้ยจาก ม. ถึงร้อยละ 10 ต่อเดือน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ และไม่ว่าผู้คัดค้านจะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับผลประโยชน์ใดจากการกู้ยืมระหว่างม. กับ บ. การกระทำของผู้คัดค้านจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องกรณีไม่มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้าน
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อเดือนมีนาคม 2544 ผู้คัดค้านปล่อยเงินกู้ในโรงงานของผู้ร้อง โดยให้นายมานพ ขอพบสุขลูกจ้างผู้ร้องกู้ยืมเงิน 16,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน อันเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการกู้ยืม ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 7.23 กรณีร้ายแรงขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ให้นายมานพกู้ยืมเงิน ผู้ที่ให้นายมานพกู้ยืมเงินคือนางบุญเรือน ทองเนื้อแปด ผู้คัดค้านเป็นเพียงตัวแทนของนายมานพช่วยติดต่อขอกู้ยืมเงินจากนางบุญเรือนให้นายมานพตามที่นายมานพขอร้องโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ผู้คัดค้านไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ยกคำร้อง
วันนัดพิจารณาคู่ความแถลงรับกันว่า ผู้ร้องมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ร.1 และผู้คัดค้านแถลงรับว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2544 นายมานพขอพบสุข ลูกจ้างผู้ร้องมาพบผู้คัดค้านอ้างว่าเดือดร้อนต้องการใช้เงิน 16,000 บาท ผู้คัดค้านรับปากว่าจะติดต่อนางบุญเรือน ทองเนื้อแปด ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้คัดค้านและมีอาชีพปล่อยเงินกู้ หลังจากผู้คัดค้านติดต่อแล้วนางบุญเรือนยอมให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน และมอบเงินให้ผู้คัดค้านนำไปมอบให้นายมานพ นายมานพชำระดอกเบี้ยให้เพียง 2 เดือน แล้วไม่ชำระอีกเลย
ศาลแรงงานกลางเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่ผู้คัดค้านติดต่อและรับมอบเงินกู้จากนางบุญเรือนมามอบให้นายมานพโดยคิดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 10 ต่อเดือน ถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ. 2475 และเป็นการเอาเปรียบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ร่วมงานซึ่งเป็นผู้ใช้แรงงานจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีร้ายแรง มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ข้อแรกว่ากรณีไม่มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านนั้น คดีนี้ผู้ร้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกจ้างและกรรมการลูกจ้างอ้างว่าผู้คัดค้านฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ร.1 ข้อ 7.23 ที่ว่าลูกจ้างต้องไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่แสวงหาประโยชน์จากการกู้ยืมภายในบริเวณที่ทำการหรือโรงงานหรือหอพักที่นายจ้างจัดให้ ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง โดยผู้คัดค้านให้นายมานพ ขอพบสุข ลูกจ้างของผู้ร้องกู้ยืมเงิน 16,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน ภายในโรงงานของผู้ร้อง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ที่ให้นายมานพกู้ยืมเงินคือนางบุญเรือน ทองเนื้อแปดไม่ใช่ผู้คัดค้าน เหตุที่ผู้คัดค้านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะเมื่อเดือนมีนาคม 2544 นายมานพไปพบผู้คัดค้านแจ้งว่ากำลังเดือดร้อนต้องการใช้เงิน 16,000 บาท ผู้คัดค้านจึงรับไปติดต่อนางบุญเรือนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้คัดค้านและมีอาชีพปล่อยเงินกู้ให้ อันเป็นการช่วยเหลือนายมานพ หลังจากที่ผู้คัดค้านติดต่อแล้วนางบุญเรือนยอมให้กู้ยืมโดยมอบเงินให้ผู้คัดค้านนำไปมอบให้นายมานพ การที่ผู้คัดค้านรับมอบเงินกู้จากนางบุญเรือนนำไปให้นายมานพจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเพื่อช่วยนายมานพให้ได้รับเงินกู้จากนางบุญเรือนเช่นเดียวกัน แม้นางบุญเรือนจะคิดดอกเบี้ยจากนายมานพถึงร้อยละ 10 ต่อเดือน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ. 2475 และไม่ว่าผู้คัดค้านจะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับผลประโยชน์ใดจากการกู้ยืมระหว่างนายมานพกับนางบุญเรือน การกระทำของผู้คัดค้านจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องตามที่ผู้ร้องอ้าง กรณีไม่มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้าน ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง