คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ถูกกล่าวหาเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาและจำเลย เพื่อนำไปวิ่งเต้นพนักงานอัยการและเจ้าพนักงานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจโดยไม่ปรากฏว่าจะนำเงินไปให้ผู้พิพากษาเพื่อเป็นอามิสสินจ้างในการดำเนินคดีในศาลและไม่ปรากฏว่ามีการมอบเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในบริเวณศาล แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดผลแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่เมื่อการกระทำของผู้ถูกกล่าวหามิได้เกิดขึ้นในบริเวณศาลแล้ว จะอาศัยแต่ผลจากการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลเสียหายแก่รูปคดีมาชี้ขาดว่าผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลไม่ได้
เมื่อพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงผู้ถูกกล่าวหาอื่นที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

มูลคดีสืบเนื่องมาจากนางทัศนีย์ ดวงมาลา ผู้กล่าวหาซึ่งเป็นภริยาของนายมนตรีพันธุ์แตง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 831/2540 ของศาลชั้นต้น ร้องเรียนกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุพรรณบุรีว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองร่วมกันหลอกลวงเอาเงินจำนวน130,000 บาท จากผู้กล่าวหา อ้างว่าจะช่วยเหลือมิให้จำเลยได้รับโทษจำคุก โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองร่วมกันเรียกเงินจากผู้กล่าวหาในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ขณะเกิดเหตุผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมผู้ต้องหาและจำเลยที่ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้กล่าวหาหลงเชื่อยอมจ่ายเงินให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นเงิน130,000 บาท ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ผู้กล่าวหาได้ขอเงินคืนจากผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 คืนเงินให้ผู้กล่าวหา 30,000 บาท ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ยังไม่คืนเงินให้ผู้กล่าวหา

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองร่วมกันเรียกและรับเงินจากจำเลยและผู้กล่าวหาภายในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากที่จำเลยถูกลงโทษจำคุกแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 คืนเงินให้ผู้กล่าวหา 30,000 บาท ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 คืนให้ 50,000 บาท ถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) มีคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 จำคุก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน จำคุกผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน และปรับ 500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน2538 จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต และถูกพนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีฟ้องในข้อหาดังกล่าว ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้เรียกและรับเงินจากจำเลยและผู้กล่าวหาหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 130,000 บาทโดยอ้างว่าจะนำไปใช้จ่ายในการวิ่งเต้นคดีเพื่อไม่ให้จำเลยต้องรับโทษจำคุก แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้คืนเงินให้แก่ผู้กล่าวหา 30,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 คืนเงินให้ผู้กล่าวหา 50,000 บาท ส่วนเงินอีก 50,000 บาท ที่ผู้กล่าวหาและจำเลยยังไม่ได้รับคืน ผู้กล่าวหาไม่ติดใจเรียกร้องโดยให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของทนายความ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาและจำเลยในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรีจริงหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวเห็นว่าคำเบิกความของผู้กล่าวหามีพิรุธไม่น่ารับฟัง ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเบิกความในชั้นไต่สวนปฏิเสธว่าไม่เคยรับเงินจากผู้กล่าวหาและจำเลยในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรี แต่อ้างว่าจำเลยเคยนำเงินไปมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่บ้านพักของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี 80,000 บาท และนำไปมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่บ้านพักที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี อีก 30,000 บาท กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้กล่าวหาได้มอบเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรีตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมา

อนึ่ง ตามทางไต่สวนของศาลชั้นต้นข้อเท็จจริงได้ความจากถ้อยคำของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองตรงกันว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาและจำเลยเพื่อนำไปวิ่งเต้นพนักงานอัยการและเจ้าพนักงานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ โดยไม่ปรากฏว่าจะนำเงินไปให้ผู้พิพากษาเพื่อเป็นอามิสสินจ้างในการดำเนินคดีในศาล ดังนั้น แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดผลแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล อันอาจเกิดผลเสียหายแก่คู่ความและประชาชนสมควรอย่างยิ่งที่จะลงโทษให้หลาบจำก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมิได้เกิดขึ้นในบริเวณศาลแล้ว จะอาศัยแต่ผลจากการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลเสียหายแก่รูปคดีมาชี้ขาดว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลจังหวัดสุพรรณบุรีไม่ได้ การที่พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

พิพากษากลับว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33

Share