คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2449/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ1 งาน 50 ตารางวา ราคา 2,000 บาท แต่เมื่อไปทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่ดินตรงที่โจทก์ชี้ว่าจำเลยบุกรุกนั้น คิดเป็นเนื้อที่ 1 ไร่3 งาน 64 ตารางวา โจทก์จึงขอตีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 บาทดังนี้ เมื่อที่ดินที่โจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาทว่าจำเลยบุกรุกนั้นตรงกับที่ที่โจทก์บรรยายฟ้อง ซึ่งจำเลยก็นำชี้ด้วย แต่อ้างว่าเป็นของจำเลย ที่พิพาทจึงมิได้นอกเหนือหรือเกินไปจากฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด เป็นแต่จำนวนเนื้อที่ซึ่งประมาณไว้คลาดเคลื่อนเท่านั้น โจทก์จึงไม่ต้องขอเพิ่มเติมฟ้องในส่วนนี้ และศาลย่อมตีราคาเนื้อที่ที่แท้จริงและเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริงได้ ไม่เป็นการเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มนอกเหนือไปจากที่โจทก์ฟ้อง
เดิมจำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีที่งอก แม้จะมีที่งอกก็เป็นของจำเลย จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยซึ่งครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผย ติดต่อมา 50-60 ปี แล้ว มี ส.ค.1 เป็นหลักฐานจำเลยมิได้ขุดบ่อบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ บ่อที่มีอยู่เป็นบ่อดั้งเดิมของจำเลย ต่อมาจำเลยให้การเพิ่มเติมว่า แม้ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ตามคำให้การเดิมจะอยู่ในโฉนดของโจทก์หรืออยู่ในที่งอก จำเลยก็ได้ครอบครองมาในฐานะเป็น เจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์และเจ้าของร่วมก็ทราบมาก่อนแล้วว่าเป็นที่ดินของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ คำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยไม่ขัดกัน จำเลยจึงนำสืบตามประเด็นในคำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2517 ในประเด็นข้อคำให้การขัดกันหรือไม่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๒๙๑๖ ร่วมกับนางมณี นางสาวสำเนียง และเด็กชายมนัส ที่ดินด้านทิศตะวันออกติดที่ลาดริมคลอง มีที่ดินที่งอกด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ จำเลยและบริวารได้บุกรุกเข้าไปขุดบ่อในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเป็นบ่อยาวไปตามลำคลอง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๕๐ ตารางวา ราคา ๒,๐๐๐ บาททำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารมาเกี่ยวข้องที่ดินตามโฉนดที่ ๒๙๑๖ และที่ดินที่งอกของโจทก์ ให้จำเลยกลบบ่อที่ทำดินให้มีสภาพดังเดิม ถ้าทำไม่ได้ให้ใช้เงินค่าจ้างกลบที่ดินให้โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๒๙๑๖จริง แต่ที่ดินโจทก์ไม่มีที่งอก แม้จะมีที่งอกก็เป็นของจำเลย จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลย ซึ่งได้ครอบครองมาในฐานะเป็นเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผยติดต่อมา๕๐-๖๐ ปีแล้ว เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่เศษ มี ส.ค. ๑ เป็นหลักฐาน จำเลยมิได้ขุดบ่อบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ดังฟ้อง บ่อที่มีอยู่เป็นบ่อดั้งเดิมของจำเลยโจทก์ไม่เสียหาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ก่อนทำแผนที่วิวาท จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การว่า “ที่ดินตามส.ค.๑ ที่จำเลยครอบครองอยู่ตามคำให้การเดิมนั้น แม้ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่จะอยู่ในโฉนดของโจทก์หรืออยู่ในที่งอก จำเลยก็ได้ครอบครองมาในฐานะเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปี โจทก์และเจ้าของร่วมก็ทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าที่ดินตาม ส.ค.๑ เป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต” โจทก์ไม่ค้าน ศาลอนุญาต
วันนัดพร้อม ทนายโจทก์แถลงว่าที่ที่หาว่าจำเลยบุกรุกคือบริเวณเส้นสีม่วงในแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๖๔ ตารางวา ราคา ๗,๐๐๐ บาทโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุก เนื้อที่ ๑ งาน ๕๐ ตารางวา เป็นการประมาณเอาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น และเห็นว่าคำให้การเดิม และคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยขัดกันต้องห้ามมิให้จำเลยนำสืบ มีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ เมื่อทำการสืบพยานโจทก์เสร็จ พิพากษาว่า ที่พิพาทในวงเส้นสีม่วงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องให้จำเลยร่วมกันกลบบ่อทำให้ที่ดินมีสภาพดังเดิมถ้าทำไม่ได้ ให้ใช้ค่าจ้างให้โจทก์ ๕๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยบุกรุกคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ๑ งาน ๕๐ ตารางวา ราคา ๒,๐๐๐ บาท เมื่อไปทำแผนที่พิพาท โจทก์ชี้ว่าที่จำเลยบุกรุกคิดเป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๖๔ ตารางวา ราคา ๗,๐๐๐ บาท ศาลเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มตามราคา ๗,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ไม่ได้ขอเพิ่มเติมฟ้อง เป็นการชี้ที่พิพาทเกินจากฟ้องและเรียกค่าขึ้นศาลนอกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโฉนดที่ ๒๙๑๖ ทางด้านทิศตะวันออกติดที่ลาดริมคลองที่ดินของโจทก์นี้มีที่ดินที่งอกด้วย จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปขุดบ่อในที่ดินของโจทก์เป็นบ่อยาวไปตามลำคลอง สภาพของบ่อที่งอกตลอดจนทิศทางที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกตรงกับสภาพและทิศทางที่โจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาทเห็นได้ว่าที่ดินภายในเส้นสีม่วงที่โจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาทว่าจำเลยบุกรุกนั้นตรงกับที่ที่โจทก์บรรยายฟ้องนั่นเองซึ่งจำเลยก็นำชี้ด้วย แต่อ้างว่าเป็นของจำเลยที่พิพาทดังกล่าวมิได้นอกเหนือหรือเกินไปจากฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ต้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้ ข้อที่คลาดเคลื่อนไม่ตรงกันในฟ้องของโจทก์กับแผนที่วิวาทก็คือจำนวนเนื้อที่ซึ่งประมาณไว้คลาดเคลื่อนเท่านั้นเห็นว่าไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะลักษณะสภาพของที่ดิน ทิศทางด้านที่จำเลยบุกรุกตรงกันหมดแล้ว เมื่อทำการรังวัดและคำนวณกันแน่นอนและได้เนื้อที่ ๑ ไร่๓ งาน ๖๔ ตารางวา ศาลตีราคาตามเนื้อที่ที่แท้จริงและเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง เช่นนี้ ไม่เป็นการเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มนอกเหนือไปจากที่โจทก์ฟ้องเพราะโจทก์ชี้ที่พิพาทเกินจากฟ้องแต่อย่างใด
ที่จำเลยฎีกาอีกว่า คำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยไม่ขัดกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าขัดกัน ให้งดสืบพยานจำเลย เป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าเดิมจำเลยให้การว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีที่งอก แม้จะมีที่งอกก็เป็นของจำเลย จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยซึ่งครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยติดต่อมา ๕๐-๖๐ ปีแล้ว มี ส.ค.๑ เป็นหลักฐาน จำเลยมิได้ขุดบ่อบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ บ่อที่มีอยู่เป็นบ่อดั้งเดิมของจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำให้การเพิ่มเติมว่า แม้ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ตามคำให้การเดิมจะอยู่ในโฉนดของโจทก์หรืออยู่ในที่งอก จำเลยก็ได้ครอบครองมาในฐานะเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์และเจ้าของร่วมก็ทราบมาก่อนแล้วว่าเป็นที่ดินของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ปัญหาว่าคำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยขัดกันอันจะทำให้จำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบหรือไม่นั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวแล้วมีมติว่า คำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยไม่ขัดกันเมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงนำสืบตามประเด็นในคำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลย เสร็จแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share