แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสามการบอกเลิกสัญญาจ้างไม่ว่าจะกระทำเป็นหนังสือหรือกระทำด้วยวาจา นายจ้างต้องระบุเหตุผลในการเลิกสัญญาจ้างให้ลูกจ้างทราบ โดยหากกระทำเป็นหนังสือ ต้องระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง แต่หากกระทำด้วยวาจา ต้องระบุเหตุผลไว้ในขณะที่บอกเลิกสัญญาจ้างนั้น เมื่อปรากฏว่า จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ด้วยวาจาแต่มิได้ระบุหรือแจ้งเหตุผลในการบอกเลิกจ้างไว้ในขณะที่บอกเลิกสัญญาจ้างจำเลยจึงไม่อาจยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างภายหลังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2541ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล ได้ค่าจ้างเดือนละ 27,500 บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ 2,500 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,750 บาท ค่าอาหารเดือนละ 615 บาทวันที่ 11 สิงหาคม 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 97,095 บาท และ 53,941.66 บาท ตามลำดับ จำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ระหว่างวันที่ 1 ถึง 11 สิงหาคม 2544 เป็นเงิน11,867.16 บาท โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2544 อีก 2.5 วัน จึงมีสิทธิได้ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเงิน 2,697.08 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 97,095 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 53,941.66 บาท ค่าจ้างค้างจ่าย 11,867.16 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2,697.08 บาท ค่าเสียหาย 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์วันที่ 11 สิงหาคม 2544 แต่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะโจทก์ทำผิดพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงคือ วันที่ 7 ถึง 9 สิงหาคม 2544 โจทก์หยุดงานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร เพื่อไปทำการอบรมสัมมนาซึ่งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรีร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรีเป็นผู้จัด โดยมิได้บอกกล่าวและมิได้รับอนุญาตจากจำเลยก่อน ทั้งยังแจ้งเท็จและแสดงหลักฐานเท็จต่อนายวิงเชิงชานผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าโจทก์ป่วย โดยนำใบเสร็จรับเงินค่ายาที่โจทก์ต้องการเบิกจากจำเลยมาแสดงและอ้างเป็นใบรับรองแพทย์ให้หยุดงานเป็นเวลา 3 วัน ทำให้นายวิงเชิงชานซึ่งเป็นชาวต่างชาติและอ่านภาษาไทยไม่ออกหลงเชื่อว่าเป็นจริง จึงอนุมัติการลา ซึ่งความจริงโจทก์มิได้ป่วยตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการหยุดงานไปเพื่ออบรมสัมมนาดังกล่าว การกระทำของโจทก์จึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้เงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายระหว่างวันที่ 1 ถึง 11 สิงหาคม2544 โจทก์มีสิทธิได้รับเพียง 10,083 บาท เท่านั้น มิใช่ตามฟ้อง เงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์กระทำผิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 82,500 บาท ค่าจ้างค้างจ่าย10,083 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2544(วันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับมาเพียงข้อเดียวโดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจา ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ และไม่มีการอ้างเหตุผลในการเลิกจ้างว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจำเลยจึงยกเหตุตามมาตรา 119(5) ที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยขึ้นอ้างไม่ได้นั้น จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากกรณีตามคดีนี้เป็นเรื่องการเลิกจ้างด้วยวาจา เป็นการเลิกจ้างตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การเลิกจ้างต้องระบุเหตุผลการเลิกจ้างในการเลิกจ้างด้วยวาจา กรณีตามคดีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 17 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยไม่จำต้องระบุเหตุผลในการเลิกจ้างในการบอกเลิกจ้างด้วยวาจา จำเลยจึงอ้างเหตุตามมาตรา 119(1)(2)(5) ขึ้นอ้างได้นั้น เห็นว่า บทบัญญัติตามมาตรา 17 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่ระบุว่า “ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้” นั้น เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเข้าใจอันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างโดยให้นายจ้างแสดงเหตุผลในการเลิกสัญญาจ้างให้ลูกจ้างทราบว่า ลูกจ้างนั้นถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลใด ซึ่งลูกจ้างอาจพิจารณาต่อไปได้ว่า เหตุผลดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ ลูกจ้างสมควรที่จะเรียกร้องค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์อื่นอันเนื่องมาจากการเลิกสัญญาจ้างนั้นหรือไม่เพียงใดดังนั้น ตามนัยแห่งบทกฎหมายดังกล่าวการบอกเลิกสัญญาจ้างไม่ว่าจะกระทำเป็นหนังสือหรือกระทำด้วยวาจา นายจ้างก็ต้องระบุเหตุผลในการเลิกสัญญาจ้างให้ลูกจ้างทราบโดยหากกระทำเป็นหนังสือ ก็ต้องระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง แต่หากกระทำด้วยวาจา ก็ต้องระบุเหตุผลไว้ในขณะที่บอกเลิกสัญญาจ้างนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ด้วยวาจาแต่มิได้ระบุหรือแจ้งเหตุผลในการบอกเลิกจ้างไว้ในขณะที่บอกเลิกสัญญาจ้าง จำเลยจึงไม่อาจยกเหตุตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ขึ้นอ้างภายหลังได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน