คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68(เดิม) ที่ใช้บังคับอยู่ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีบัญญัติว่า นิติบุคคลนั้น จะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติทั้งหลายของประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดบัญญัติให้สำนักงานเขตพระนครจำเลยที่ 2 และสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 4 มีฐานะเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 จึงเป็นเพียงส่วนราชการในสังกัดของกรุงเทพมหานคร จำเลยที่1 และกรมที่ดินจำเลยที่ 3 ตามลำดับเท่านั้น และไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4
การที่พระธรรมปาโมกข์รักษาการแทนเจ้าอาวาสโจทก์ในขณะนั้นยินยอมให้เทศบาลนครกรุงเทพ (จำเลยที่1 ในขณะนั้น) ขยายถนนอัษฎางค์เข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก เป็นกรณีที่วัดยินยอมให้มีการขยายเขตถนนเดิมซึ่งเป็นทางหลวงอยู่แล้วเข้าไปในที่วัดถือได้ว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินส่วนนี้โดยปริยายให้เป็นทางหลวง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) และการอุทิศเช่นนี้ย่อมมีได้ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 7แก้ไขโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 มาตรา 3 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เพราะกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดห้ามไว้ไม่ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกส่วนที่ขยายเป็นถนนอัษฎางค์จึงเป็นทางสาธารณะ
แม้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครจะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดิน แต่เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครก็เป็นข้าราชการที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกรมที่ดินจำเลยที่ 3 หากดำเนินการออกโฉนดที่ดินตลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างใดอธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ดังนั้น จำเลยที่ 3 ในฐานะที่เป็นกรม ย่อมถูกฟ้องเป็นจำเลยเพื่อให้รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องการออกโฉนดที่ดินได้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ธรณีสงฆ์ต่อจำเลยที่ 4 ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชา ผู้แทนจำเลยที่ 2 คัดค้านการนำชี้ของโจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 4 ฉบับที่ 44/2532 เพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 ห้ามจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขัดขวางการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ออกโฉนดที่ดินตามแนวที่โจทก์นำชี้

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงส่วนราชการของจำเลยที่ 1ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกที่ผู้แทนโจทก์นำชี้ทับถนนอัษฎางค์ตลอดแนว มิใช่ที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์ แต่เป็นทางหลวงเทศบาล ซึ่งผู้รักษาการเจ้าอาวาสของโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขยายถนนอัษฎางค์ล้ำเข้าไปในวัดโจทก์ตั้งแต่พ.ศ. 2482 เป็นการอุทิศให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงส่วนราชการของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องการที่เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ออกคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่โจทก์ตามแนวเขตที่ผู้แทนจำเลยที่ 2 นำชี้นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 3 ไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการออกโฉนด โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ตามรูปแผนที่เอกสารหมาย จ.42 หรือ จ.42/1 โดยอาณาเขตด้านทิศตะวันตกจดแทนกำแพงวัดด้านทิศเหนือลงมาถึงแนวเขื่อนอิฐคลองวัดราชบพิธด้านทิศใต้ตามที่จำเลยที่ 1 คัดค้าน ส่วนอาญาเขตที่ดินด้านทิศใต้จดแนวเขื่อนอิฐคลองวัดราชบพิธจากด้านทิศตะวันออกจนจดถนนอัษฎางค์ ด้านทิศตะวันตกดังที่โจทก์นำชี้ตามแผนที่เอกสารหมาย ล.5 ให้เพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 4

โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68(เดิม) ที่ใช้บังคับอยู่ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีบัญญัติว่านิติบุคคลนั้น จะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติทั้งหลายของประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดบัญญัติให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 มีฐานะเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 และที่ 4 จึงเป็นเพียงส่วนราชการในสังกัดของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามลำดับเท่านั้น และไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4

มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกในส่วนที่ขยายเป็นถนนอัษฎางค์เป็นทางสาธารณหรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อเทศบาลนครกรุงเทพ (จำเลยที่ 1 ในขณะนั้น) ขอขยายถนนอัษฎางค์เข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2482 พระธรรมปาโมกข์รักษาการแทนเจ้าอาวาสในขณะนั้นไม่ขัดข้องเทศบาลนครกรุงเทพจึงดำเนินการขยายถนนอัษฎางค์จนแล้วเสร็จดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่พระธรรมปาโมกข์รักษาการแทนเจ้าอาวาสโจทก์ในขณะนั้นยินยอมให้เทศบาลนครกรุงเทพขยายถนนอัษฎางค์เข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ดังกล่าวเป็นกรณีที่วัดยินยอมให้มีการขยายเขตถนนเดิมซึ่งเป็นทางหลวงอยู่แล้วเข้าไปในที่วัด ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินส่วนนี้โดยปริยายให้เป็นทางหลวง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) และเห็นว่าการอุทิศเช่นนี้ย่อมมีได้ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 7 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 มาตรา 3 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เพราะกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดห้ามไว้ไม่ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกส่วนที่ขยายเป็นถนนอัษฎางค์เป็นทางสาธารณะ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 มิใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในการออกโฉนดตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่มีหน้าที่ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครจะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดินในคดีนี้แต่เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครก็เป็นข้าราชการที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 หากดำเนินการออกโฉนดที่ดินคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างใดอธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ดังนั้น จำเลยที่ 3 ในฐานะที่เป็นกรม ย่อมถูกฟ้องเป็นจำเลยเพื่อให้รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องการออกโฉนดที่ดินได้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3

พิพากษายืน

Share