แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมถือไม้เป็นอาวุธไปที่บ้านจำเลยพร้อมกับ ส. และร้องท้าทายจำเลยออกมาตีกัน โจทก์ร่วมเดินเข้าหาจำเลย จำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้ายจึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนสั้นของสามีที่เก็บไว้ที่หัวนอนแล้วยิงไปที่ขาโจทก์ร่วม 3 นัด โดยเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วม เมื่อยิงถูกขาโจทก์ร่วม 1 นัดจำเลยก็ไม่ยิงต่อไป การยิงของจำเลยดังกล่าวเพียงเพื่อยับยั้งมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาทำร้ายจำเลยในบ้านเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยหยิบอาวุธปืนของสามีจำเลยซึ่งสามีจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนแล้ว มาใช้ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมแต่มีเจตนาเพียงทำร้ายโจทก์ร่วม จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6 วางโทษจำคุก6 เดือน และมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 วางโทษจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 781 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมเฉพาะในปัญหาที่ว่า การที่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมนั้นเป็นการป้องกันโดยด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกต้นขาซ้ายโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กาย ปัญหาในชั้นฎีกามีว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมาหรือไม่ เห็นว่าที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยยิงโจทก์ร่วมทางด้านหลังนั้นก็ปรากฏจากผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องว่า โจทก์ร่วมมีบาดแผลที่ต้นขาซ้ายด้านนอกทะลุต้นขาซ้ายด้านหลัง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยยิงจากทางด้านหน้า มิได้ยิงจากด้านหลัง แม้โจทก์ร่วมจะเบิกความว่าจำเลยยิงปืนจากด้านหลังเมื่อโจทก์ร่วมเดินหันหลังกลับแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อถือ เพราะตามคำเบิกความของนายสุชาติสุนทรโชติพยานโจทก์นั้นได้ความว่า พยานอยู่กับโจทก์ร่วมขณะเกิดเหตุเมื่อโจทก์ร่วมพูดกับจำเลยว่ามึงด่ากูหรือ ทันใดนั้นพยานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด ตามคำเบิกความของพยานปากนี้เห็นได้ว่าจำเลยยิงจากทางด้านหน้าเพราะเมื่อโจทก์ร่วมพูดกับจำเลยดังกล่าวนั้น โจทก์ร่วมย่อมจะต้องหันหน้าพูดกับจำเลย เมื่อจำเลยยิงทันทีจำเลยจะยิงจากทางด้านหลังได้อย่างไร นอกจากนี้นายสุชาติก็เบิกความยอมรับว่า ขณะจำเลยยิงโจทก์ร่วมนั้นจำเลยอยู่ห่างโจทก์ร่วมประมาณ 3 เมตร ตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3 ตามเอกสารฉบับนี้แม้จะระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น แต่จำเลยก็ให้การว่าโจทก์ร่วมถือไม้มาที่หน้าบ้านของจำเลยกับนายสุชาติแล้วโจทก์ร่วมร้องท้าให้จำเลยออกมาตีกัน โจทก์ร่วมเข้ามาใกล้กับบ้านจำเลยมาก จำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้าย จึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวนั้นจำเลยให้การไว้ในวันเกิดเหตุนั้นเอง จึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือโจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 5-6 ปี เคยถูกจำเลยใช้ค้อนตีศีรษะ และนายสุชาติก็รับว่าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยร้องด่าโจทก์ร่วมว่าดื่มสุราส่งเสียงเอะอะเจือสมกับพยานจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมถือไม้เป็นอาวุธไปที่หน้าบ้านจำเลยพร้อมกับนายสุชาติ และร้องท้าทายจำเลยออกมาตีกัน โจทก์ร่วมเดินเข้าหาจำเลย จำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้าย จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนสั้นของสามีที่เก็บไว้ที่หัวนอนแล้วยิงไปที่ขาโจทก์ร่วม 3 นัด โดยเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมเมื่อถูกขาโจทก์ร่วม 1 นัด จำเลยก็ไม่ยิงต่อไป ชี้ให้เห็นว่าจำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงเพื่อยับยั้งมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาทำร้ายจำเลยในบ้านเท่านั้น ซึ่งตามภาพถ่ายหมาย จ.5 แผ่นที่ 2 เห็นได้ว่า โจทก์ร่วมซึ่งอยู่หน้าบ้านสามารถก้าวเข้าไปทำร้ายจำเลยในบ้านได้โดยง่ายจำเลยเป็นหญิง โจทก์ร่วมมีไม้เป็นอาวุธและมากับนายสุชาติ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 สำหรับฎีกาโจทก์ข้อหาฐานมีอาวุธปืนกับเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อปรากฏว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของนายฉ่ำสามีจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนท้องที่ จำเลยหยิบอาวุธปืนดังกล่าวมาใช้ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว จำเลยจึงหามีความผิดฐานนี้ไม่ ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน