คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานเอกสารที่ส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลนั้น คงรับฟังได้แต่เพียงว่าผู้จัดส่งเป็นผู้ครอบครองเอกสารนั้นไว้ แต่การที่จะรับฟังได้ว่า เอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องนั้น ผู้อ้างเอกสารจะต้องนำสืบพิสูจน์ต่อศาลอีกชั้นหนึ่ง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องพิสูจน์ รายงานแพทย์ที่โรงพยาบาลที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่ต้องพิสูจน์ความแท้จริงและความถูกต้อง เมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีในขณะทำสัญญาประกันชีวิตและไม่เคยแจ้งแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง จำเลยมีภาระในการพิสูจน์ว่า รายงานแพทย์ดังกล่าวที่ระบุว่า โจทก์มีประวัติเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง นั้นแท้จริงและถูกต้อง เมื่อจำเลยอ้างส่งรายงานแพทย์ลอยๆ โดยมิได้นำแพทย์ที่ซักประวัติโจทก์หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาเบิกความยืนยันให้เห็นว่าเป็นรายงานแพทย์ที่แท้จริงและถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ให้รายละเอียดกับแพทย์ผู้ตรวจรักษาตามรายงานแพทย์เอกสารหมาย ป.ล.3 ไว้จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 115,237 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงต่าง ๆ ที่กำหนดในกรมธรรม์ประกันชีวิตสืบไปตราบเท่าที่สัญญาประกันชีวิตจะมีผลใช้บังคับ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ชดใช้เงินจำนวน 300,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 84,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยรับผิดเท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2539 โจทก์ยื่นคำขอเอาประกันชีวิตต่อจำเลยโดยระบุว่า ไม่เคยเป็นโรคใด ๆ จำเลยรับประกันและออกกรมธรรม์ให้ ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2540 ซึ่งสัญญาประกันชีวิตยังมีผลใช้บังคับอยู่ โจทก์ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โจทก์ขอรับเงินตามสัญญาแต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระด้วยการบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ โดยอ้างว่า สัญญาเป็นโมฆียะ เนื่องจากโจทก์ปกปิดข้อความจริงว่าตนไม่เคยเป็นโรคดังกล่าวซึ่งหากจำเลยรู้จะบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จะรับฟังรายงานแพทย์โรงพยาบาลธนบุรีเอกสารหมาย ป.ล.3 ว่า โจทก์ได้ให้รายละเอียดกับแพทย์ผู้ตรวจรักษาว่าโจทก์ป่วยเป็นโรคเบาหวานมาแล้ว 3 ปี และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว 2 ปี หรือไม่ เห็นว่า พยานเอกสารที่ส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลนั้น คงรับฟังได้แต่เพียงว่า ผู้จัดส่งเป็นผู้ครอบครองเอกสารนั้นไว้ แต่การที่จะรับฟังได้ว่า เอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องนั้น ผู้อ้างเอกสารจะต้องนำสืบพิสูจน์ต่อศาลอีกชั้นหนึ่ง มิใช่ว่าเมื่อศาลได้รับเอกสารจากผู้ใดแล้วจะต้องฟังว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องเสมอไป เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องพิสูจน์ สำหรับรายงานแพทย์โรงพยาบาลธนบุรีที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่ต้องพิสูจน์ความแท้จริงและความถูกต้อง เมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่า โจทก์มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีในขณะทำสัญญาประกันชีวิตและไม่เคยแจ้งแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงแต่ประการใด จำเลยย่อมมีภาระในการพิสูจน์ว่า รายงานแพทย์ที่ระบุว่า โจทก์มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงนั้นแท้จริงและถูกต้อง เมื่อจำเลยอ้างส่งรายงานแพทย์เอกสารหมาย ป.ล.3 ลอย ๆ โดยมิได้นำแพทย์ที่ซักประวัติโจทก์หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาเบิกความยืนยันให้เห็นว่าเป็นรายงานแพทย์ที่แท้จริงและถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ให้รายละเอียดแก่แพทย์ผู้ตรวจรักษาตามรายงานแพทย์เอกสารหมาย ป.ล.3 ไว้จริง
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมา 7,500 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share