แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่า จำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกันจำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทชิ้น หนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันและโจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งสินสมรส โดยจำเลยยอมแบ่งทรัพย์สินต่าง ๆ หลายรายการ และให้โจทก์ใช้หนี้บุคคลอื่นเป็นเงิน 22,590 บาทตามสำเนาหนังสือแบ่งสินสมรส เอกสารท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 22 มกราคม2518 จำเลยได้นำทรัพย์สินของโจทก์ไปยกให้บิดาของจำเลย ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่โจทก์และให้จำเลยกับบริวารออกจากบ้านของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์สินตามเอกสารท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 55 หมู่ที่ 1 ตำบลจันทึก อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับบ้านและทรัพย์สินตามเอกสารท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยทำหนังสือยกทรัพย์ตามเอกสารท้ายฟ้องให้แก่โจทก์จริงแต่ทรัพย์ตามฟ้องดังกล่าว ตกเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้งตั้งแต่วันทำสัญญา เพราะโจทก์เปลี่ยนใจเนื่องจากนับแต่โจทก์จำเลยหย่ากันจำเลยต้องรับภาระเป็นผู้ให้การศึกษาเลี้ยงดูบุตรทั้งสามแต่ผู้เดียวโดยจำเลยและบุตรอาศัยอยู่ที่บ้านป่าไผ่ โจทก์เห็นใจจำเลยและสงสารบุตรจึงไม่ขอรับบ้านและทรัพย์สินในบ้านเลขที่ 55 และมอบคืนให้จำเลยกับบุตรเพื่อใช้และอยู่อาศัย ต่อมาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2525 โจทก์มาเรียกร้องค่าตอบแทนที่ได้ยกบ้านผ่าไผ่เลขที่ 55 และเครื่องเรือนของใช้ในบ้านจำเลยยอมมอบเงินให้โจทก์ไป 40,000 บาท โจทก์สัญญาว่าจะไม่มาเรียกร้องเพิ่มเติมอีกโดยโจทก์ไปหากินที่จังหวัดพิษณุโลก ทรัพย์สินตามเอกสารท้ายฟ้องยกเว้นบ้านและที่ดินพร้อมโฉนด จึงตกเป็นของจำเลยนับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบการครอบครองหลังวันหย่าหนึ่งวันการที่จำเลยนำเอาบ้านและเครื่องเรือนไปชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงเป็นสิทธิของจำเลยและทรัพย์สินดังกล่าวได้เปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นแล้วพ้นวิสัยที่จำเลยจะปฏิบัติตาม เพราะสภาพแห่งหนี้ตามฟ้องไม่เปิดช่องให้จำเลยทำได้ และจำเลยได้ครอบครองทรัพย์สิน เครื่องเรือน ตามเอกสารท้ายฟ้องโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่ 4ธันวาคม 2522 เป็นเวลาเกินกว่า 5 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์จึงตกเป็นของจำเลยตามกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเรือนของโจทก์ตามฟ้อง ให้จำเลยคืนทรัพย์ตามฟ้องทั้งหมดแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะหืแล้ว ที่จำเลยฎีกาในข้อแรกว่าจากการนำสืบของโจทก์ที่ได้ความว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์กับจำเลยเกิดทะเลาะกัน จำเลยไล่โจทก์ให้ออกจากบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาท โดยบอกกล่าวแก่โจทก์ว่าจะไม่ยึดถือทรัพย์พิพาทแทนโจทก์ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้นเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่า จำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลย ไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า จำเลยได้นำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลยและศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำฟ้องของโจทก์ได้นั้นเห็นว่า เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะนำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่จำเลยอ้างไม่ผูกพันโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท…”
พิพากษายืน.