คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6142/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีเอกสาร ภ.บ.ท. 5แต่ยังไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อรังวัดและนำเสาซีเมนต์ไปปักไว้ 2 ต้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ส่วนการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทไม่ใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ภริยาโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้ซื้อที่ดินก็ไม่เคยเข้าไปดูแลหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมอบหมายให้โจทก์ไปดูแลแทนหรือกระทำแทนเท่านั้น เช่นนี้โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย และห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท

จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นายสิทธิชัย แซ่ลี้ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาจากนายคำพอง สาคุณหรือสาคูณและนายสังคม สาคุณหรือสาคูณเมื่อปี 2535 ที่ดินพิพาทมีการทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ในขณะนั้นที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างเก็บเกี่ยวพืชผล มีการปลูกกล้วย มะละกอ และพืชสวนครัวด้วย หลังจากที่นายคำพองส่งมอบที่ดินให้โจทก์มีการรื้อถอนบ้านที่นายคำพองปลูกไว้แสดงว่าที่ดินของนายคำพองผ่านการทำประโยชน์มาแล้ว เมื่อนายคำพองและนายสังคมส่งมอบที่ดินให้โจทก์ยึดถือไว้เท่ากับโจทก์ได้รับคืนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาแล้ว และโจทก์ได้ยึดถือเพื่อตนแสดงถึงสิทธิในที่ดินที่โจทก์รับโอนมาแสดงความเป็นเจ้าของเข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้นำนายเกียรติชัยเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดอุดรธานีเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ โดยการปักเสารั้วไว้เป็นแนวเขตซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 100 เมตร ทั้งมีการเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอดพฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์ย่อมแสดงให้เห็นชัดเมื่อโจทก์ยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนเองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองนั้น เห็นว่า โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่านับตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมา โจทก์ยังไม่ได้เข้าทำประโยชน์แต่อย่างใด เพราะเมื่อปีที่ซื้อมายังมีข้าวปลูกอยู่คิดว่าหลังจากเจ้าของเดิมเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็จะเข้าไปทำประโยชน์ แต่พอเจ้าของเดิมเก็บเกี่ยวข้าวออกไปแล้วจำเลยทั้งสี่ก็ได้นำรถแทรกเตอร์ไปไถ คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่าตั้งแต่ซื้อที่ดินพิพาทมาโจทก์ยังไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลยการที่โจทก์นำนายเกียรติชัยเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อรังวัดและนำเสาซีเมนต์ไปปักไว้2 ต้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโจทก์ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทก็ไม่ใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้นางประนอม นาสมพันธุ์ ภริยาโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทเบิกความว่า พยานเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายคำพองและนายสังคมหลังจากซื้อแล้วพยานไม่ได้เข้าไปดูอีก คงมอบหมายให้โจทก์ไปดูคำเบิกความของนางประนอมดังกล่าวย่อมมีความหมายชัดแจ้งว่านางประนอมซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินร่วมกับโจทก์ก็ไม่เคยเข้าไปดูแลหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเพราะนางประนอมมอบหมายให้โจทก์ไปดูแลแทนหรือกระทำแทนเท่านั้น เช่นนี้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่ว่ารับฟังได้หรือไม่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share