คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แผ่นพับโฆษณาที่มีข้อความกล่าวถึงขนาด เนื้อที่อาคารราคาเซ้งต่อห้อง 20 ปี การผ่อนชำระเงิน วันจอง ทำสัญญา ผ่อนชำระชำระวันโอนสิทธิ การผ่อนชำระแก่สถาบันการเงินอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปีซึ่งหากผู้ใดสนใจจะจองห้องเช่าที่ขนาดใดต้องติดต่อขอทำสัญญากับโจทก์นั้นเป็นการชวนเชิญให้จำเลยเป็นฝ่ายทำคำเสนอเท่านั้น ไม่ชัดเจนแน่นอนพอที่จะถือเป็นคำเสนอ
สัญญาจองห้องเช่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่าหากจำเลยประสงค์ให้ติดต่อแหล่งเงินทุนเพื่อการกู้ยืมเงินชำระค่าเช่า จำเลยจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า จำเลยต้องไปพบเจ้าหน้าที่ของแหล่งเงินทุน และปฏิบัติตามข้อกำหนดของแหล่งเงินทุนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม และจดทะเบียนต่าง ๆ เองทั้งสิ้น เป็นการอนุเคราะห์ให้ความสะดวกแก่จำเลย หากแหล่งเงินทุนไม่อนุมัติ จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญานี้ จะยกการไม่อนุมัติเงินกู้มาเป็นเหตุไม่ปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ โจทก์เป็นเพียงคนกลางติดต่อหาแหล่งเงินกู้ให้เท่านั้น มิใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องติดต่อหาแหล่งเงินกู้ให้จำเลยจนได้รับอนุมัติให้กู้เงินได้ตามจำนวนที่กำหนด ดังนั้น เมื่อโจทก์ติดต่อให้จำเลยกู้เงินจากบริษัทเงินทุนแล้ว แต่จำเลยได้รับอนุมัติให้กู้เพียง1,200,000 บาท ยังขาดอยู่อีกประมาณ 500,000 บาท การที่จำเลยไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์ เลขที่ 2100/1218 โครงการพนาสิน 2 จำเลยได้เช่าอาคารเลขที่ดังกล่าวจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดยจำเลยต้องชำระค่าเช่าล่วงหน้า1,900,000 บาท และจำเลยได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าในวันจองเป็นเงิน 15,000 บาท และได้ชำระงวดที่ 1 ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 55,000 บาท ชำระงวดที่สองในเดือนกรกฎาคม 2539 เป็นเงิน 55,000 บาท และต้องชำระงวดสุดท้ายในวันจดทะเบียนการเช่าเป็นเงิน 1,775,000 บาท ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าและชำระค่าเช่าล่วงหน้าจำนวน 1,775,000 บาทแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย สัญญาจองจึงเป็นอันสิ้นสุดและโจทก์ได้ริบเงินที่จำเลยชำระมาแล้วทั้งหมด กับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากห้องพิพาท แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารเลขที่ 2100/1218 พร้อมส่งมอบอาคารดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 30,916 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 24,550 บาทแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารดังกล่าว

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเพราะจำเลยให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการติดต่อแหล่งเงินทุนให้แก่จำเลย ตามแผ่นพับโฆษณาโครงการพนาสิน 2 ซึ่งโจทก์ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่อนชำระกับสถาบันการเงินให้แก่ลูกค้าที่มาติดต่อเช่าอาคารของโจทก์แต่โจทก์ไม่สามารถแหล่งเงินทุนให้แก่จำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารพาณิชย์เลขที่ 2100/1218 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และส่งมอบอาคารดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2539 จำเลยได้ทำสัญญาจองห้องเช่าพิพาทเลขที่ 2100/1218ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการพนาสิน 2 จากโจทก์มีระยะเวลาเช่าตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ตกลงชำระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน 1,900,000 บาท โดยชำระในวันทำสัญญาจองเป็นเงิน 15,000 บาทส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็นงวด งวดที่ 1 และที่ 2 ชำระงวดละ 55,000 บาทที่เหลืออีกจำนวน 1,775,000 บาท กำหนดชำระในวันจดทะเบียนการเช่าโดยโจทก์จะมีหนังสือแจ้งกำหนดวันจดทะเบียนให้จำเลยทราบ หากจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิริบเงินที่ชำระมาแล้วทั้งหมด แต่หากมีการทำสัญญาเช่าจำเลยต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์สำหรับปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 เดือนละ 800 บาทตามสัญญาจองห้องเช่าเอกสารหมาย จ.5 หลังจากวันทำสัญญาจอง โจทก์ยินยอมให้จำเลยเข้าใช้ประโยชน์ในอาคารที่เช่าก่อนมีการจดทะเบียนการเช่าและจำเลยเข้าใช้ประโยชน์ในอาคารที่เช่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมาโดยจำเลยจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.เอส.โอ.เอ. มีจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาโจทก์แนะนำบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิตจำกัด ให้จำเลยเพื่อกู้ยืมเงิน แต่ไม่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงิน โจทก์มีหนังสือนัดหมายจำเลยให้ไปจดทะเบียนการเช่าและชำระค่าเช่าล่วงหน้า จำนวน1,775,000 บาท ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2540 สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบางกะปิ จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ตามสำเนาหนังสือและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 แต่จำเลยไม่ไปตามนัด

พิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อความในแผ่นพับโฆษณาโครงการพนาสิน 2 ของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นคำเสนอให้เข้าทำสัญญาจองห้องเช่าตามเอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.7 อันเป็นการขายสิทธิการเช่าเป็นการขายตามคำพรรณาหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า แผ่นพับโฆษณาเอกสารหมาย ล.1เป็นคำเสนอ และคำมั่นที่จะหาแหล่งเงินทุนมาให้จำเลยกู้ เมื่อจำเลยสนองรับโดยเข้าทำสัญญาวางเงินมัดจำตามหนังสือมัดจำเอกสารหมายล.4 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องหาแหล่งเงินทุนให้จำเลยกู้ เมื่อโจทก์ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนให้จำเลยกู้ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญานั้น เห็นว่าแผ่นพับโฆษณาเอกสารหมาย ล.1 เป็นเพียงหนังสือเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปจองห้องเช่าเท่านั้น เพราะได้มีการเสนอเป็นเอกสารแก่บุคคลทั่วไป โดยมีข้อความกล่าวถึง ขนาด เนื้อที่อาคาร ราคาเซ้งต่อห้อง 20 ปี การผ่อนชำระเงิน วันจอง ทำสัญญา ผ่อนชำระ ชำระวันโอนสิทธิการผ่อนชำระแก่สถาบันการเงินอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี ซึ่งหากผู้ใดสนใจจะจองห้องเช่าเนื้อที่ขนาดใดก็ติดต่อขอทำสัญญากับโจทก์อันเป็นการชวนเชิญให้จำเลยเป็นฝ่ายทำคำเสนอเท่านั้น หนังสือเชิญชวนดังกล่าวจึงยังไม่ชัดเจนแน่นอนพอที่จะถือเป็นคำเสนอสำหรับสัญญาจองห้องเช่าตามเอกสารหมาย จ.5ข้อ 5 ซึ่งระบุว่าหากผู้รับสัญญาประสงค์ให้ผู้ให้สัญญาติดต่อแหล่งเงินทุนเพื่อการกู้ยืมเงินชำระค่าเช่าล่วงหน้าตามข้อ 3.4 ผู้รับสัญญาจะต้องแจ้งให้ผู้ให้สัญญาทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร และผู้รับสัญญาต้องไปพบเจ้าหน้าที่ของแหล่งเงินทุนตามกำหนดนัด และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของแหล่งเงินทุนดังกล่าวโดยผู้รับสัญญาเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม และจดทะเบียนต่าง ๆ เองทั้งสิ้น ซึ่งในวรรคสองของข้อ 5 ระบุว่า การติดต่อแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องการอนุเคราะห์ให้ความสะดวกแก่ผู้รับสัญญาของผู้ให้สัญญา หากแหล่งเงินทุนไม่อนุมัติการกู้ไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ ผู้รับสัญญาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญานี้จะยกเหตุการไม่อนุมัติเงินกู้ของแหล่งเงินทุนมาเป็นเหตุในการไม่ปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ เห็นได้ว่าโจทก์เป็นเพียงคนกลางที่จะติดต่อหาแหล่งเงินกู้ให้จำเลยเท่านั้น หากจำเลยประสงค์จะกู้เงิน แต่ถ้าจำเลยไม่ประสงค์จะกู้เงินก็ไม่ต้องให้โจทก์ช่วยหาแหล่งเงินกู้ให้ หรือจำเลยอาจหาแหล่งเงินกู้เองก็ได้มิได้หมายความว่าเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องติดต่อหาแหล่งเงินกู้ให้จำเลยจนได้รับอนุมัติให้กู้เงินได้ตามจำนวนที่กำหนด เป็นแต่โจทก์จะอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น เช่นการที่โจทก์อำนวยความสะดวกแก่จำเลยในการยื่นเอกสารคำขอกู้เงิน ซึ่งให้ลูกค้ากรอกรายละเอียดสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองเงินเดือนหนังสือรับรองสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทและบัญชีเงินฝากย้อนหลัง6 เดือน ซึ่งจำเลยนำเอกสารนั้นไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ แต่แหล่งเงินกู้ที่โจทก์ติดต่อให้จำเลยนั้นจะให้จำเลยกู้เงินหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใดโจทก์ไม่รับรอง จึงได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยจะยกเอาเหตุการไม่อนุมัติเงินกู้ของแหล่งเงินทุนมาเป็นเหตุในการไม่ปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยกู้เงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด แล้ว แต่จำเลยได้รับอนุมัติให้กู้เพียง1,200,000 บาท ยังขาดอยู่อีกประมาณ 500,000 บาท แม้จำเลยติดต่อโจทก์จะขอให้โจทก์ให้จำเลยกู้เงิน จำนวน 1,700,000 บาท โจทก์รับจะนำเงื่อนไขของจำเลยมาพิจารณาก็เป็นเพียงคำเสนอของจำเลยเท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่สนองรับ จำเลยก็ไม่พ้นความรับผิดที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาจองห้องเช่าเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 3 และข้อ 4 การที่จำเลยไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือและไม่ไปจดทะเบียนการเช่าตามที่โจทก์กำหนด จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมบอกเลิกสัญญาได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share