แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานร่วมกันขายโดยการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 และยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 71 และพ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 101 นั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 101 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนความผิดฐานมีไว้เพื่อขาย ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ไม่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นความผิด
สำหรับความผิดฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบัน ตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ขาย” หมายความว่า ขายปลีก ขายส่ง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายด้วย ฉะนั้น การขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนปัจจุบันจึงถือเป็นความผิดอย่างเดียวกัน จำเลยที่สองร่วมกันมียาแผนปัจจุบันไว้ในครอบครองเพื่อขายและร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันที่มีอยู่บางส่วนในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวคือ การขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องว่า ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็น 2 กรรมก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยไว้เอง โดยให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเพียงกรรมเดียวโดยไม่แก้โทษในความผิดฐานดังกล่าวตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 20, 71 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 12, 101 ริบของเหลวสีน้ำตาลของกลาง และคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 20, 21 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 12, 101 ฐานมีโคเดอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานจำหน่ายโคเดอีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน ริบของกลางคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าการมีไว้เพื่อขายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันตามฟ้องด้วยนั้น พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด คงบัญญัติความผิดเฉพาะส่วนฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง, 71 เมื่อเป็นยาแผนปัจจุบันด้วยจึงเป็นความผิดฐานขายยาแผนปัจจุบันตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง, 101 อีกด้วย ซึ่งตามมาตรา 4 แห่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ขาย” หมายความว่า ขายปลีก ขายส่ง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายด้วย ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้เพื่อขายและขายซึ่งยาแผนปัจจุบันของกลางดังกล่าวตามฟ้องในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน จึงถือเป็นความผิดอย่างเดียวกันและเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน คือความผิดฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ทั้งเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ตามพระราชบัญญัติยา เสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง, 71 ดังกล่าว ซึ่งต้องปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองเป็น ความผิด 2 กรรม และมิได้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เพียงบทเดียวนั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหา ดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้โดยไม่แก้ไขโทษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง, 71 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง, 101 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9.