คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายถูกไม้เบสบอลตีจนหมดสติไปทันทีในที่เกิดเหตุและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 2 เดือน โดยอาการไม่ดีขั้น ต้องให้อาหารเหลวทางจมูกและพูดจาไม่ได้ ขณะที่ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นระยะเวลาหลังเกิดเหตุ 1 ปีเศษ ผู้เสียหายต้องนั่งรถเข็นไม่สามารถยืนได้ พูดแต่ละคำด้วยความยากลำบาก แสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยที่ 2 ใช้ไม้เบสบอลยาวประมาณ 1 เมตร ตีที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรง แม้ตีเพียงครั้งเดียวก็แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มุ่งหมายจะให้เสียผู้เสียถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 289
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำเลยที่ 2 กระทำความผิดขณะอายุยังไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 คงจำคุก 6 ปี 6 เดือน (ที่ถูก ต้องระบุข้อหาอื่นให้ยก) สำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 เวลา 19.40 นาฬิกา มีคนร้ายใช้ไม้เบสบอลยาวประมาณ 1 เมตร เป็นอาวุธตีนายเชิดชัย ผู้เสียหาย ที่บริเวณท้ายทอย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ. 3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นายพีระ และนายอดุลเดช เบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุผู้เสียหาย นายพีระ และนายอดุลเดชไปคุยกับนายสมศักดิ์ ที่หอพักของนายสมศักดิ์ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเทศบาลบำรุง 3 หลังจากนั้นนายอดุลเดชขับรถจักรยานยนต์ออกจากหอพักโดยมีผู้เสียหายนั่งตรงกลางและนายพีระนั่งซ้อนท้ายสุด นายอดุลเดชขับรถในซอยที่เกิดเหตุได้ระยะหนึ่งจนถึงปากซอย โดยมองไม่เห็นว่าจำเลยที่ 1 หรือนายจุกเรียกให้หยุดรถ แต่ผู้เสียหายบอกให้นายอดุลเดชขับรถย้อนกลับไปเนื่องจากจำเลยที่ 1 ยืนเรียกอยู่ข้างทาง เมื่อนายอดุลเดชขับรถไปจอดที่จุดเกิดเหตุ เห็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีก 4 ถึง 5 คน ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เมื่อรถจักรยานยนต์ที่นายอดุลเดชจอดอยู่แต่ยังไม่ได้ดับเครื่องยนต์ พวกของจำเลยที่ 1 คนหนึ่งถือไม้เบสบอลเข้ามาทำท่าจะตีนายพีระ นายพีระกระโดดลงจากรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ไม้เบสบอลจึงฟาดไปถูกท้ายทอยผู้เสียหาย ผู้เสียหายหมดสติตกจากรถ และทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลงบนพื้นถนน นายพีระและนายอดุลเดชวิ่งหนีไปหานายสมศักดิ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบแล้วพากันกลับมายังที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวกหลบหนีไปแล้ว ส่วนผู้เสียหายมีพลเมืองดีช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยขณะเกิดเหตุ แม้พยานโจทก์ทั้งสามปากจะไม่ได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ไม้เบสบอลตีผู้เสียหาย แต่เมื่อพิเคราะห์คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ. 16 จำเลยที่ 1 ให้การว่า คืนเกิดเหตุเวลา 19.20 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถออกจากที่พักพบจำเลยที่ 2 นายศศิพงษ์ หรือนายเจมกับพวกอีก 2 คน จอดรถจักรยานยนต์รออยู่ที่ปากซอย สอบถามแล้วได้ความว่ารอผู้เสียหายเพื่อชำระรอยแค้นที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที นายโล้นขับรถจักรยานยนต์มีผู้เสียหายนั่งตรงกลาง นายสมศักดิ์ นั่งท้ายสุดขับออกมาจากในซอยมุ่งหน้ามาทางปากซอยที่จำเลยที่ 1 กับพวกจอดรถคอยอยู่ จำเลยที่ 1 โบกมือเรียกให้หยุด เมื่อนายโล้นจอดรถ จำเลยที่ 2 ใช้ไม้เบสบอลยาวประมาณ 1 เมตร ฟาดลงบนศีรษะผู้เสียหาย ผู้เสียหายเอี้ยวศีรษะหลบไปถูกบริเวณท้ายทอยและพลัดตกจากรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 1 และพวกจึงพากันหลบหนีไป ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายศศิพงษ์ ซึ่งอยู่ด้วยในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ. 22 แม้คำให้การของจำเลยที่ 1 และนายศศิพงษ์จะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหา แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟัง นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนางสาวอ๋อย โคตรวงทอง ภรรยาจำเลยที่ 2 ซึ่งทำงานเป็นพนักงานเสริฟอยู่ที่ร้านจันทร์ผาเบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุขณะพยานอยู่ที่ร้านอาหารจันทร์ผากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีชายวัยรุ่น 3 คน ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านมีเสียงชายวัยรุ่นพูดแซวพยานว่าอุ้ยจ๋า ทำให้จำเลยที่ 2 โมโห จากนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากร้านไป ต่อมาเวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 2 กลับมาที่ร้านและบอกว่ามีเรื่องกับผู้อื่นแล้วชักชวนพยานหลบหนีไปอยู่จังหวัดภูเก็ตได้ประมาณ 1 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ประกอบกับในชั้นมอบตัวต่อพนักงานสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 2 ว่าร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกมอบตัวและแจ้งข้อหาเอกสารหมาย จ. 17 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบเจือสมรับว่า จำเลยที่ 2 ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยขณะเกิดเหตุ ส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ไปเอาไม้เบสบอลมายังที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เข้าไปปัสสาวะที่หลังกอไผ่ เมื่อกลับออกมาก็พบว่าผู้เสียหายหมดสติ โดยมีจำเลยที่ 1 ยืนถือไม้เบสบอลอยู่ ไม่ทราบว่าใครใช้ไม้เบสบอลตีผู้เสียหายนั้น คงมีตัวจำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบกันมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ไม้เบสบอลตีผู้เสียหาย ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ผู้เสียหายถูกตีเพียงครั้งเดียว แสดงว่าผู้กระทำไม่มีเจตนาฆ่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า ผู้เสียหายถูกไม้เบสบอลตีจนหมดสติไปทันทีในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นผู้เสียหายต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 2 เดือน โดยอาการไม่ดีขึ้น ต้องให้อาหารเหลวทางจมูก และพูดจาไม่ได้ ตามภาพถ่ายหมาย จ. 2 และตามคำให้การของนายประโยชน์ ลิ่มสกุล บิดาผู้เสียหายตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ. 4 ประกอบกับขณะที่ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 หลังจากเกิดเหตุแล้ว 1 ปีเศษ ศาลชั้นต้นได้ดูสภาพร่างกายของผู้เสียหายแล้ว ปรากฏว่าผู้เสียหายต้องนั่งรถเข็นไม่สามารถยืนได้ พูดแต่ละคำด้วยความยากลำบากซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยที่ 2ใช้ไม้เบสบอลยาวประมาณ 1 เมตร ตีที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรงแม้ตีเพียงครั้งเดียวก็แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มุ่งหมายจะให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายเมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้ภาวะสมองของผู้เสียหายในเบื้องต้นได้รับการกระทบกระเทือนมีเลือดออกในสมองตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ. 3 และผู้เสียหายต้องรับการรักษาด้วยความทุกข์ทรมานเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตามในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา บิดามารดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ไปเยี่ยมเยียนออกค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้เสียหายเพื่อบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ปรากฏตามเอกสารแนบท้ายฎีกาของจำเลยที่ 2 เห็นควรลงโทษจำเลยที่ 2 สถานเบาฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 75 และ 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน ซึ่งบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 (ใหม่) ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share