แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิเฉพาะการสละมรดกของจำเลยเท่านั้นแต่โจทก์ยังยืนยันสิทธิครอบครองที่ดินรายพิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญมาฝ่ายเดียวถึง 7 ปี เศษดังนี้เรื่องการสละมรดกจึงเป็นแต่เหตุประการหนึ่งที่แสดงว่าจำเลยตกลงใจสละให้แล้ว จึงได้ไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานบุคคลได้หาเป็นการต้องห้ามที่จะไม่ให้รับฟังพยานบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1612 ไม่
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยและนางเคลือบเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา เมื่อบิดาตายจำเลยทั้ง 3 ตกลงยกที่ดินพิพาทไม่มีหนังสือสำคัญ2 แปลง เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งานให้โจทก์และนางเคลื่อน ๆ ครอบครองเป็นเจ้าของมา 7 ปีเศษ จำเลยจึงขาดสิทธิครอบครองและขาดอายุความมรดกที่นี้เมื่อบิดาเป็นเจ้าของเตียนอยู่ 2 ไร่เศษ นอกนั้นโจทก์และนางเคลื่อนถางป่าเต็มเนื้อที่ บัดนี้จำเลยไปร้องขอจดทะเบียนรับมรดกที่พิพาทจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ (ร่วมกับนางเคลื่อน) ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง จำเลยทั้ง 3 ให้การว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ปกครองที่พิพาทและปกครองแทนจำเลยที่ 1, 3 ด้วยจำเลยทั้ง 3 ไม่เคยยกให้ทั้งช่วยกันปลูกพืชผล เมื่อบิดาตายที่เตียนทั้งแปลงแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ๆ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ (กับนางเคลื่อน)ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้ง 3 ฎีกาและเถียงในข้อกฎหมายว่าที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสละมรดกยกที่รายพิพาทแก่โจทก์และนางเคลื่อนนั้นไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ คงสืบแต่พยานบุคคลจึงรับฟังไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องของโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิเฉพาะการสละมรดกของจำเลยเท่านั้นแต่โจทก์ยืนยันสิทธิทางครอบครองมาฝ่ายเดียวถึง 7 ปีเศษ ข้ออ้างเรื่องจำเลยสละมรดกเพียงแต่เป็นเหตุประการหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยตกลงใจสละให้แล้วจึงไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา 7 ปีเศษนั้นจึงเป็นเรื่องที่นำสืบได้โดยพยานบุคคลดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว และคดีเรื่องนี้จะยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612 มาตัดไม่ให้รับฟังพยานบุคคลเสียเลยดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมานั้นไม่ได้
จึงพิพากษายืน