คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อสันนิษฐานของกฎหมายในประมวลแพ่งฯ มาตรา 1357 ใช้เมื่อความจริงไม่ปรากฏเมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏฟังได้ก็พึงถือตามข้อเท็จจริงนั้น
การที่จำเลยและโจทก์และทายาทอื่นรวม 14 คนมีชื่อในโฉนดแต่ พ.ศ.2465 เวลาจะแบ่งที่ในโฉนดย่อมต้องแบ่งตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะมรดก ร.ศ.121 มาตรา 1 ข้อ 1(2) คือ ‘ถ้าบุตรบางคนมรณภาพฯลฯ ให้เอาส่วนของบุตรที่มรณภาพแบ่งให้แก่หลานผู้มรณภาพซึ่งเป็นบุตรของบุตรผู้มรณภาพนั้นเหมือนอย่างว่าเป็นมรดกของบุตรผู้นั้นเองต่อๆ ลงไป ฯลฯ’

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดที่ 880 ตำบลวังทองหลางอำเภอบางกะปิ จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 180 ไร่เศษ เดิมเป็นของนายพุฒ ๆ ตาย โจทก์และทายาทได้ลงชื่อรับมรดกไว้รวม 14 คน ด้วยกันบัดนี้โจทก์ต้องการแบ่งส่วนของโจทก์ 1 ใน 7 ทายาทอื่นยินยอมแต่จำเลยไม่ยอม จึงมาฟ้องให้ศาลบังคับ

จำเลยทั้ง 7 ให้การว่า ผู้มีชื่อในโฉนดต่างมีกรรมสิทธิ์ในที่คนละ 1 ใน 14 จำเลยที่ 2 ได้รับส่วนของนายฮิมอีก 1 ส่วนและซื้อส่วนของนางวงษ์อีก 1 ส่วนรวมเป็น 3 ส่วน ไม่ใช่โจทก์มีส่วนได้ 1 ใน 7 คนเดียวดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้ได้มีการลงชื่อโจทก์จำเลยและทายาทอื่นรวม 14 คนในโฉนดเมื่อ พ.ศ. 2465 จึงต้องใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะมรดก ร.ศ.121 มาตรา 1 ข้อ 1 วรรค 2ซึ่งมีข้อความว่า “ถ้าบุตรบางคนมรณภาพบางคนยังอยู่ หรือมรณภาพทั้งหมดก็ดี ให้เอาส่วนของบุตรที่มรณภาพแบ่งให้แก่หลายผู้มรณภาพซึ่งเป็นบุตรของบุตรผู้มรณภาพนั้น เหมือนอย่างว่าเป็นมรดกของบุตรผู้นั้นเองต่อ ๆ ลงไป ฯลฯ”

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลแพ่งเป็นว่าให้โจทก์ได้แบ่งที่ดินพิพาท1 ใน 7 ส่วนจำเลยนั้นมีส่วนแบ่งเฉพาะส่วนของมารดาของตนนอกจากจำเลยคนใดได้รับโอนส่วนมาจากใครเท่าใดก็ให้เป็นไปตามที่ได้จดทะเบียนไว้นั้นอีกด้วย

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share