แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยกที่ดินให้มัสยิดโจทก์ขณะยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลจะสมบูรณ์หรือไม่ก็ตามหากต่อมามัสยิดโจทก์มีสภาพเป็นนิติบุคคลขึ้น และมีความประสงค์ให้จำเลยซึ่งมีฐานะเป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นแทนมัสยิดส่งมอบที่ดินคืนจำเลยย่อมหมดหน้าที่ที่จะยึดถือที่ดินไว้แทนมัสยิดโจทก์อีกต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า พ.ศ. 2443 นายอีซุฟ อัซซัน โจอังกุเลีย ได้อุทิศที่ดินตำบลบางคอแหลม เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ให้สร้างสุเหร่าหรือมัสยิดขึ้นตามลัทธิศาสนาอิสลามเพื่อประโยชน์แก่บรรดาผู้ร่วมศาสนาเป็นสุเหร่าหรือมัสยิดสาธารณะ ดำเนินงานศาสนกิจเรื่อยมา เรียกว่าสุเหร่าใหม่บางคอแหลมหรือมัสยิดอัสสละฟียะฮ์ จนได้รับจดทะเบียนมัสยิดเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 ที่จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2499 มีชื่อตามทะเบียนมัสยิดว่า “อัสสละฟียะฮ์” ที่ดินดังกล่าวได้ออกโฉนดเลขที่ 1582 เมื่อ ร.ศ.131 ในนาม “สุเหร่าใหม่” ถือกรรมสิทธิ์ แต่ขณะนั้นสุเหร่ายังไม่เป็นนิติบุคคล จึงได้ใส่ชื่อนายยากบและนายเอช.อี.ซองกุเลีย ในนามของทรัสตีสุเหร่าใหม่เมื่อ พ.ศ. 2459 กับมีรายการแก้ทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์หลังโฉนดเพื่อสุเหร่านี้ต่อกันมาจนวันที่ 9 มิถุนายน 2490 จำเลยทั้งสี่ ซึ่งเป็นทรัสตีได้ลงชื่อในโฉนดที่ 1582 แทนทรัสตีคนเก่า อันเป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อหรือแทนสุเหร่าซึ่งยังไม่เป็นนิติบุคคลเท่านั้น เมื่อมัสยิดได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็ประสงค์จะเข้าจัดการทรัพย์สินของมัสยิดโดยตรง จึงให้ทนายแจ้งให้จำเลยทั้งสี่โอนโฉนดที่ 1582 ใส่ชื่อมัสยิดอัสสละฟียะฮ์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยตรง และมอบโฉนดพร้อมหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับที่ดิน เพื่อมัสยิดจะได้เข้าจัดการและครอบครองรับประโยชน์ต่อไป จำเลยทั้งสี่ก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ความจริงนายอีซุฟ อัซซัน โจอังกุเลียได้ขายที่ดินให้แก่ทรัสตีเพื่อสร้างสุเหร่า ตามฟ้องโจทก์ก็แสดงให้เห็นว่าที่ดินที่ฟ้องมีชื่อบุคคลถือกรรมสิทธิ์ หาใช่ของมัสยิดไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแพ่งให้คู่ความส่งเอกสารที่ต่างฝ่ายอ้างสนับสนุนคดีของตนและสอบถามข้อที่จะสืบพยานบุคคลของแต่ละฝ่ายแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานบุคคลเสีย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง นายอีซุฟ อัซซัน โจอังกุเลีย ไม่ได้ขายที่ดินที่ปลูกสร้างสุเหร่าที่ถนนตกให้แก่ทรัสตี แม้สุเหร่าใหม่นี้จะไม่ใช่นิติบุคคลมาแต่เดิม จำเลยผู้อ้างว่าในฐานะทรัสตียึดถือที่ดินไว้ ก็หาใช่ผู้ครอบครองโดยปรปักษ์ต่อเจ้าของที่อุทิศไม่ จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ 1582 เพียงถือไว้เพื่อสุเหร่าหรือบุคคลผู้ร่วมศาสนาของผู้อุทิศ ซึ่งบัดนี้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายขึ้นแล้ว จำเลยย่อมหมดหน้าที่ที่จะยึดถือที่ดินไว้แทนต่อไปในเมื่อผู้เป็นเจ้าของเรียกร้องให้มอบคืน พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่โอนโฉนดที่ 1582 รายพิพาทใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฐานะของจำเลยตามโฉนดที่ 1582 เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อสุเหร่าเท่านั้น ที่จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสุเหร่าที่พิพาทให้โจทก์ เพราะมัสยิดโจทก์เพิ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่20 กุมภาพันธ์ 2499 ในขณะมีการยกให้ มัสยิดโจทก์ยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลยังเป็นผู้รับไม่ได้ การให้จึงไม่สมบูรณ์ และว่าจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1582 ในฐานะทรัสตีโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การยกให้ของนายอี.เอช.โจอังกุเลีย จะสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม แต่บัดนี้สุเหร่าหรือมัสยิดอิสสละฟียะฮ์โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว มีความประสงค์ให้จำเลยซึ่งมีฐานะเป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1582 เพื่อสุเหร่าหรือมัสยิดอัสสละฟียะฮ์โจทก์เท่านั้น ส่งมอบที่ดินคืน จำเลยย่อมหมดหน้าที่ที่จะยึดถือที่ดินไว้แทนอีกต่อไป
พิพากษายืน