คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 285 แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มีข้อเท็จจริงไม่เข้าลักษณะความผิดตาม มาตรา 285 ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารเลย แต่เข้าลักษณะการกระทำผิดตามมาตรา 276 ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา 285 มาด้วย ก็ไม่เป็นเหตุทำให้ฟ้องของโจทก์ต้องขึ้นศาลทหารและศาลชั้นต้นก็ได้ สั่งประทับฟ้องเฉพาะในข้อกล่าวหาตาม มาตรา 276 ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาได้ โดยไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องมายื่นใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๑ ก.พ. ๒๕๐๒ เวลากลางคืน จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ต่อหน้าธารกำนัลขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๕
ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวนรับประทับฟ้องเฉพาะข้อกล่าวหาตามมาตรา ๒๗๖ ส่วนความผิดตามมาตรา ๒๘๕ อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศใช้กฎอัยการศึกของคณะปฏิวัติลงวันที่ ๒๐ ต.ค. ๒๕๐๑ และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๖ ไม่รับฟ้องการกระทำผิดตามมาตรา ๒๘๕
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ให้จำคุก ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหนักขึ้นอีก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาในข้อกฎหมาย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีที่ขึ้นอยู่ในอำนาจศาลทหารรวมอยู่ด้วย ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง เสียก่อนไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๕ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๕ แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มีข้อเท็จจริงไม่เข้าลักษณะความผิดตาม มาตรา ๒๘๕ ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารเลย แต่เข้าลักษณะการกระทำผิดตามมาตรา ๒๗๖ ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา ๒๘๕ มาด้วย ก็ไม่เป็นเหตุทำให้ฟ้องของโจทก์ต้องขึ้นศาลทหารและศาลชั้นต้นก็ได้ สั่งประทับฟ้องเฉพาะในข้อกล่าวหาตาม มาตรา ๒๗๖ ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาได้ โดยไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องมายื่นใหม่
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share