แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่วัดได้ยินยอมให้มีการขยายเขตถนนเดิมซึ่งได้ใช้เป็นทางหลวงอยู่แล้วเข้าไปในที่วัด และเมื่อทางหลวงนี้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน กรณีจึงเป็นว่า วัดได้อุทิศที่ดินส่วนนี้โดยปริยาย ให้เป็นทางหลวง
การอุทิศของวัดเช่นนี้มิได้ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41 เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่เข้าลักษณะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กฎหมายนั้นระบุไว้ ฉะนั้น การที่จำเลยปลูกปักอาคารลงในเขตทางหลวงโดยมิได้รับอนุญาต ก็ย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือน มกราคม ๒๕๐๑ ถึงกันยายน ๒๕๐๑ จำเลยทุกสำนวนบังอาจปลูกสร้างบ้านเรือนเป็นอาคารถาวรลงในเขตทางหลวงแผ่นดินสายตรัง – ปะ – เหลียน ตรงหลักกิโลเมตร ที่ ๒๐-๒๑ เป็นเนื้อที่ห้องละ ๓๕.๐๐ ตารางเมตร โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวง ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๔๘๔ (ที่ถูก ๒๔๘๒) มาตรา ๔, ๕, ๒๘, ๔๐ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙
จำเลยทั้ง ๑๒ คน ให้การปฏิเสธต้องกันว่าจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านเรือนมาช้านานหลายปีแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเรือนนี้เป็นที่ของวัดนิกรรังสฤษดิ์มาช้านานก่อนสร้างทางหลวงสายนี้ จำเลยได้เช่าจากวัดมาปลูกสร้าง หาใช่ปลูกในเขตทางหลวงแผ่นดินไม่ ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์นั้นจะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดย พระราชบัญญัติ (พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา ๘๔) ตอนนี้ยังมิได้โอน จึงยังเป็นที่วัดอยู่
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ห้องแถวของจำเลยอยู่ในที่ดินของวัด ซึ่งถูกขยายเป็นถนนหลวง แต่ยังมิได้โอนไปตามพระราชบัญญัติ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง ๑๒ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้ง ๑๒ สำนวนมีความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๒๘ และแก้ไขฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙ ให้ปรับจำเลยคนละ ๒๐๐ บาท
โจทก์ทั้ง ๑๒ สำนวน ฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมใหญ่เห็นว่า จริงอยู่ได้มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๑ บัญญัติว่า ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ แต่ในคดีนี้ วัดได้ยินยอมให้มีการขยายเขตถนนเดิมซึ่งได้ใช้เป็นทางหลวงอยู่แล้วเข้าไปในที่วัด และเมื่อทางหลวงนี้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) กรณีจึงเป็นว่า วัดได้อุทิศที่ดินส่วนนี้โดยปริยาย ให้เป็นทางหลวงและศาลฎีกาเห็นว่า การอุทิศของวัดเช่นนี้มิได้ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๑ เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่เข้าลักษณะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กฎหมายนั้นระบุไว้
เมื่อเช่นนี้ การที่จำเลยปลูกปักอาคารลงในเขตทางหลวงโดยมิได้รับอนุญาต ก็ย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย ที่โจทก์อ้างมา ข้อต่อสู้เรื่องไม่เจตนา ฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อจำเลยปลูกสร้างอาคารใน พ.ศ. ๒๕๐๑ นั้น สภาพของเขตทางหลวงได้มีอยู่แล้ว และรั้วของวัดก็อยู่นอกเขตนี้ด้วย
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย